4 ผลงานสตรีไทย For Women in Science เปิดทางใหม่ เพื่อคนอายุยืน โลกน่าอยู่ขึ้น

โครงการ "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" โดยลอรีอัล ประเทศไทย และยูเนสโก มอบทุนวิจัยแก่ 4 นักวิจัยสตรีไทย เพื่อสนับสนุนผลงานที่สร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน
KEY
POINTS
- โครงการ "เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์" โดยลอรีอัล ประเทศไทย และยูเนสโก มอบทุนวิจัยแก่ 4 นักวิจัยสตรีไทย เพื่อสนับสนุนผลงานที่สร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน
- ผลงานวิจัยเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้แก่ การพัฒนาระบบนำส่งยาด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อรักษาโรคเรื้อรัง และการสร้างวัคซีนต้นแบบป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)
- ผลงานในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพมุ่งเน้นการสร้างคอนกรีตคาร์บอนต่ำจากวัสดุเหลือทิ้ง และการพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอรอฟสไกต์และแบตเตอรี่ของแข็งเพื่อพลังงานสะอาด
ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้หญิงกลับมีสัดส่วนเพียงหนึ่งในสามในสายอาชีพ STEM ตัวเลขที่สะท้อนช่องว่างทางเพศซึ่งยังคงดำรงอยู่แม้ในศตวรรษแห่งนวัตกรรม การผลักดันผู้หญิงในแวดวงวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่เพียงการเรียกร้อง “ความเท่าเทียมทางเพศ” แต่คือการปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาลของมนุษยชาติ เมื่อผู้หญิงมีพื้นที่ในห้องแล็บมากขึ้น มุมมองใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น การคิดค้นก็ลึกซึ้งขึ้น และคำตอบต่อปัญหาโลกก็มีความสมดุลและยั่งยืนกว่าเดิม
ด้วยความเชื่อในพลังนั้น "ลอรีอัล ประเทศไทย" จึงเดินหน้าโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ปีนี้มอบทุนวิจัยมูลค่า 250,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณให้แก่ นักวิจัยสตรี 4 ท่าน เพื่อส่งเสริมให้ก้าวต่อไปบนเส้นทางแห่งการค้นพบที่สร้างแรงบันดาลใจ วิสัยทัศน์นี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด L’Oréal Longevity Integrative Science™ ศาสตร์แห่งการเข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างองค์รวม ที่ผสานสุขภาพ ความงาม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน เพื่อขับเคลื่อนสังคมสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกว่าเดิม
ใต้ความร่วมมือ UNESCO
"แพทริค จีโร" กรรมการผู้จัดการ ลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 2541 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิลอรีอัล และ องค์การยูเนสโก (UNESCO) ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้หญิงในการขับเคลื่อนความรู้และนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ให้ก้าวไกลไปอีกขั้น
กว่า 26 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้เปิดโอกาสให้ นักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 ท่านทั่วโลก ได้รับทุนสนับสนุน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค พร้อมมอบ รางวัลเกียรติยศระดับนานาชาติ (International Laureates) ให้แก่ นักวิจัยสตรีผู้สร้างผลงานโดดเด่นกว่า 100 ท่านทั่วโลก โดยในจำนวนนี้มีถึง 7 ท่านที่ก้าวสู่เกียรติสูงสุดด้วยการได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังของผู้หญิงในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกด้วยวิทยาศาสตร์
สำหรับประเทศไทย ลอรีอัล ประเทศไทย ได้สานต่อพันธกิจนี้ผ่าน โครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 มอบทุนวิจัย ทุนละ 250,000 บาท ให้แก่นักวิจัยสตรีไทยอายุไม่เกิน 40 ปี ในสองสาขาหลักคือ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ 2 ทุน และ วิทยาศาสตร์กายภาพ 2 ทุน เพื่อสนับสนุนให้ต่อยอดผลงานวิจัยที่มีคุณค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา โครงการนี้ได้มอบโอกาสให้กับ นักวิจัยสตรีไทยรวมทั้งสิ้น 91 ท่าน จากกว่า 20 สถาบันทั่วประเทศ ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่บนเวทีวิทยาศาสตร์ ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของลอรีอัลในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศ และขับเคลื่อนอนาคตของวิทยาศาสตร์ให้มีความหลากหลายและยั่งยืนอย่างแท้จริง
นาโนเทคโนโลยีเพื่อ Longevity
ในโลกที่เทคโนโลยีหมุนเร็วเกินคาด “โรคเรื้อรัง” กลับเป็นภัยที่ยังไม่เคยชะลอความรุนแรงลง มะเร็ง เบาหวาน สมองเสื่อม โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง ยังคงคร่าชีวิตผู้คนกว่า 70% ของอัตราการเสียชีวิตทั่วโลก และในประเทศไทย ตัวเลขนั้นยิ่งพุ่งสูงถึง 75% ต่อปี ขณะที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ การรับมือกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จึงไม่ใช่เพียงเรื่องสุขภาพอีกต่อไป แต่คือความท้าทายระดับชาติ
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ “ดร.มัตถกา คงขาว” จาก ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. หรือ NSTDA) ลุกขึ้นมาท้าทาย ด้วยความเชื่อว่า “ขนาดเล็กระดับนาโน” อาจเป็นคำตอบของ “ปัญหาใหญ่ระดับโลก”
“ดร.มัตถกา” เป็นหนึ่งในนักวิจัยหญิงที่ได้รับทุนเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กำลังพัฒนาระบบนำส่งยาอัจฉริยะ ที่สามารถพายาไปถึงจุดเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยที่สุด โดยใช้เทคโนโลยีนาโนแคเรียร์ชนิดไขมันที่ดัดแปลงพื้นผิว (surface-modified lipid nanocarriers)
“เป้าหมายของทีมวิจัยคือการสร้างระบบที่สามารถควบคุมการปลดปล่อยยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ตัวยาทำงานเฉพาะจุด ลดผลข้างเคียง และเพิ่มเสถียรภาพของสารสำคัญ เราได้ขยายผลสู่การผลิตในระดับ Pilot Scale เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของอนุภาคนาโนในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองอย่างรอบด้าน”
ทีมวิจัยได้ทดลองใช้อนุภาคนาโนที่พัฒนาขึ้นในการลดไขมัน ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงการปกป้องเซลล์ประสาทไม่ให้ตายก่อนวัย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อม ผลการทดสอบในสัตว์ทดลองชี้ให้เห็นศักยภาพที่น่าสนใจอย่างมาก ทั้งการยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก ลดตัวบ่งชี้การอักเสบในสมอง และควบคุมระดับไขมันกับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เรามองไกลกว่าการรักษาโรคเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เราทำคือการสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีพื้นฐาน ที่จะต่อยอดไปสู่ยุทธศาสตร์ ‘การแพทย์แม่นยำ’ (Precision Medicine) ของประเทศไทย เป็นฐานความรู้ที่นำไปใช้ได้ในอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอาง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ”
วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF
ท่ามกลางวิกฤตโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทยกว่า 1.5 แสนล้านบาท และทำให้เกษตรกรจำนวนมากต้องสูญเสียรายได้และอาชีพ ประเทศไทยกลับยังไม่มีทั้งวัคซีนและเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นในการต่อกรกับโรคร้ายนี้
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์” จาก ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. หรือ NSTDA) หนึ่งในนักวิจัยสตรีผู้ได้รับทุนเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ที่มุ่งมั่นพัฒนา “วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF” พร้อมวางรากฐานเทคโนโลยีเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางชีวภาพให้กับประเทศ
“ดร.ฌัลลิกา” อธิบายว่า งานวิจัยของทีมมุ่งเน้นการพัฒนาวัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live-attenuated Vaccine) ซึ่งแสดงศักยภาพสูงสุดในการป้องกันโรค โดยได้มีการทดสอบอย่างเป็นระบบในสุกร ทั้งด้านประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างนักวิจัย กรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อให้ได้ข้อมูลครบทุกมิติ
ผลการศึกษาชี้ชัดว่า วัคซีนต้นแบบนี้สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสสูงก็ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง ปัจจุบันทีมวิจัยอยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์เพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมการระบาด และอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยฟื้นอุตสาหกรรมสุกรไทยให้กลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
แต่งานวิจัยนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างวัคซีน เพราะ “ดร.ฌัลลิกา” ยังได้พัฒนาเครื่องมือทางเทคโนโลยีพื้นฐาน เพื่อใช้ต่อยอดงานวิจัยในอนาคต หนึ่งในนั้นคือ recombinant ASFV virus (ASFV001_mChNLuc) ที่สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อใช้เป็น “ห้องทดลองจำลองขนาดเล็ก” สำหรับศึกษากลไกของไวรัสและเร่งการคัดกรองยาหรือวัคซีนให้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนาเซลล์ไลน์จากมาโครฟาจและเซลล์ไตสุกร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเพาะแยกเชื้อไวรัส ASF และใช้ผลิตวัคซีนต้นแบบในระดับขยายขนาด ตลอดจนเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษากระบวนการภูมิคุ้มกันและการตอบสนองต่อเชื้อในระดับเซลล์
“องค์ความรู้และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเหล่านี้จะกลายเป็นฐานสำคัญให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่นๆ ได้ด้วยตนเองในอนาคต เป้าหมายสูงสุดของเราไม่ใช่เพียงการสร้างวัคซีนป้องกัน ASF แต่คือการสร้างความมั่นคงทางชีวภาพให้ประเทศ พร้อมรับมือโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าอย่างยั่งยืน”
จากของเสีย…สู่คอนกรีตเพื่อ Net Zero
ท่ามกลางเศษวัสดุที่ดูเหมือนจะไร้ค่า เถ้าชีวมวล เศษหินแกรนิต และพลาสติกรีไซเคิล แต่สำหรับ "รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล" จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ นี่คือวัตถุดิบแห่งอนาคต
“เรากำลังอยู่ในจุดที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายสองด้านพร้อมกัน ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมจากวัสดุเหลือทิ้ง และแรงกดดันจากเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30–40% ภายในปี 2573 เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2608”
โจทย์ใหญ่ของทีมวิจัยคือการหาคำตอบว่า จะทำอย่างไรให้ของเสียกลายเป็นทรัพยากรที่สร้างมูลค่าได้จริง
งานวิจัยของ “รศ.ดร.พิชชา” จึงเริ่มต้นจากแนวคิด เปลี่ยนของเสียให้เป็นคอนกรีตคาร์บอนต่ำ ด้วยการใช้วัสดุเหลือทิ้งจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเลือกใช้ ‘เถ้าชีวมวล’ ซึ่งอุดมไปด้วยซิลิกาและอะลูมินา มาสังเคราะห์เป็น จีโอพอลิเมอร์คอนกรีต คอนกรีตรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ไม่เพียงเท่านั้น ทีมวิจัยยังทดลองแทนทรายธรรมชาติด้วยเศษหินแกรนิต และผสมพลาสติกรีไซเคิลลงไปในเนื้อคอนกรีต เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่จากธรรมชาติในทุกขั้นตอน เหมือนได้แก้ปัญหาขยะสองชั้นในเวลาเดียวกัน
ในห้องทดลอง ทีมได้ประเมินคุณสมบัติของคอนกรีตที่พัฒนาอย่างละเอียด ทั้งด้านความแข็งแรง ความทนทาน และการวิเคราะห์โครงสร้างระดับจุลภาค ผลลัพธ์ที่ไดคือ คอนกรีตคาร์บอนต่ำจากของเสียเหล่านี้ไม่เพียงมีคุณสมบัติเทียบเท่าคอนกรีตทั่วไป แต่ยังพร้อมต่อยอดสู่การใช้งานจริง
“สิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่การสร้างวัสดุใหม่ แต่คือการออกแบบระบบจัดการของเสียให้หมุนกลับมาเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม หากแนวทางนี้ถูกนำไปใช้ในวงกว้าง มันจะไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เชื่อมโยงเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน”
“รศ.ดร.พิชชา” ทิ้งท้ายว่า ของเสียไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระ แต่คือทรัพยากรที่รอให้เราค้นพบคุณค่าใหม่ๆ และอาจเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยบนเส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน”
สนามพลังงานยั่งยืน
ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นโจทย์เร่งด่วนที่สุดของมนุษยชาติ ไทยเองก็ยังเผชิญกับความท้าทายด้าน ความมั่นคงทางพลังงาน อย่างไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องพลังงานสะอาดที่มากขึ้นเรื่อยๆ งานวิจัยของ "ดร.รงรอง เจียเจริญ" นักวิจัยชำนาญการจากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลายเป็นความหวังใหม่ในสนามพลังงานยั่งยืน
“ดร.รงรอง” ผู้ได้รับทุนเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กำลังบุกเบิกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์โลกอนาคต ด้วยการพัฒนาวัสดุและกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม งานของเธอคือการสร้าง เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอรอฟสไกต์ ที่มีน้ำหนักเบา โค้งงอได้ และมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ยังเปิดโอกาสให้เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้ในรูปแบบใหม่ๆ ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหลังคาบ้าน ผนังอาคาร หรืออุปกรณ์สวมใส่
ในเวลาเดียวกัน
งานวิจัยยังครอบคลุมถึงการพัฒนา แบตเตอรี่ของแข็ง (solid-state battery) ที่ปลอดภัยและเก็บประจุได้มากกว่าแบตเตอรี่แบบเดิม ด้วยการใช้วัสดุธรรมชาติเป็นพอลิเมอร์อิเล็กโทรไลต์คอมโพสิต และเน้นเลือกใช้วัสดุทางเลือกที่หาได้ง่ายในประเทศ เช่น สังกะสีและเหล็ก ซึ่งลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
กระบวนการวิจัยทั้งหมดตั้งอยู่บนรากฐานวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมที่ลึกซึ้ง โดย "ดร.รงรอง" และทีมพัฒนาสูตรหมึก และกระบวนการเคลือบฟิล์มเพอรอฟสไกต์ให้มีคุณภาพและเสถียรภาพสูง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรมจริง รวมถึงการทดสอบความเสถียรและประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ในหลากหลายสภาพแวดล้อม เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำงานได้จริงในชีวิตประจำวัน
นอกจากการสร้างองค์ความรู้ลึกในเชิงเทคนิคแล้ว งานวิจัยนี้ยังสร้างต้นแบบอุปกรณ์จริงที่พร้อมนำไปต่อยอดใช้งานในครัวเรือนและชุมชนได้ทันที โดยมุ่งหวังจะลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ ตามเป้าหมายชาติ







