ลุยเปิดแผน Beat the Heat ลดก๊าซฯ ความเย็น 68% จากเครื่องทำความเย็น ใน COP30

ฝ่ายประธาน COP30 และกลุ่มความร่วมมือ Cool Coalition ที่นำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้เปิดตัว "Beat the Heat" โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งดำเนินการติดตั้งระบบทำความเย็นที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อคลื่นความร้อนในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก
KEY
POINTS
- ฝ่ายประธาน COP30 และ UNEP เปิดตัวแผน "Beat the Heat" เพื่อผลักดันการติดตั้งระบบทำความเย็นที่ยั่งยืนและรับมือกับคลื่นความร้อนทั่วโลก
- ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับความเย็นลง 68% ภายในปี 2593 ตามคำมั่นสัญญา Global Cooling Pledge
- ปัจจุบันมี 72 ประเทศ และ 185 เมืองทั่วโลกเข้าร่วมโครงการ เพื่อเปลี่ยนคำมั่นสัญญาให้เป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
- ความต้องการระบบทำความเย็นที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและความร้อนจัดที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นแรงผลักดันสำคัญของแผนริเริ่มนี้
ฝ่ายประธาน COP30 และกลุ่มความร่วมมือ Cool Coalition ที่นำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้เปิดตัว "Global Mutirão Against Extreme Heat / Beat the Heat" เข้าสู่ระยะการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งดำเนินการติดตั้งระบบทำความเย็นที่ยั่งยืนและเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อคลื่นความร้อนในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก
ผนึกกำลังสู้ภัยร้อนทั่วโลก
การเปิดตัวครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนความมุ่งมั่นใน "Global Cooling Pledge" ให้กลายเป็นการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันมีเมืองเข้าร่วมโครงการแล้วถึง 185 เมือง และมี 72 ประเทศ ให้การรับรองคำมั่นสัญญา Global Cooling Pledge ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับความเย็นลงถึง 68% ภายในปี 2593
อนา โทนี ประธาน COP30 เน้นย้ำว่า "ผู้คนเข้าใจเรื่องความร้อน เพราะพวกเขารู้สึกได้ด้วยตัวเอง... ความริเริ่มนี้เข้าถึงผู้คนได้ และเป็นตัวอย่างว่าเราจะรวมโลกเข้าด้วยกันเพื่อเป้าหมายร่วมกันได้อย่างไร" หากโครงการ Mutirão นี้ขยายผลได้สำเร็จ จะมีเมืองเข้าร่วม "Beat the Heat" มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในสิ้นสุดการประชุม COP30
ความต้องการความเย็นพุ่งสูง ทางออกคือความยั่งยืน
รายงานฉบับใหม่จาก UNEP ระบุว่า ความต้องการระบบทำความเย็นทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าภายในปี 2593 ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความตึงเครียดต่อระบบไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม เอกสารดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า หากเลือกใช้ "วิถีทางสู่การทำความเย็นที่ยั่งยืน" (Sustainable Cooling Pathway) จะสามารถดังนี้
- ลดการปล่อยก๊าซฯ ที่เกี่ยวข้องกับการทำความเย็นได้ถึง 64% ภายในปี 2593
- ปกป้องผู้คน 3 พันล้านคน จากความร้อนที่เพิ่มขึ้น
- ประหยัดค่าไฟฟ้าและค่าโครงสร้างพื้นฐาน ที่หลีกเลี่ยงได้สูงถึง 43 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ความร้อนคือวิกฤติที่คร่าชีวิต
อินเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการบริหาร UNEP ชี้ว่า การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะ "ความร้อนจัดเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของวิกฤติ" โดยระบุว่าความร้อนจัดกำลังคร่าชีวิตผู้คนไปราว ครึ่งล้านคนต่อปีและสถานการณ์มีแนวโน้มจะเลวร้ายลง
"การเข้าถึงระบบทำความเย็นต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่นเดียวกับน้ำ พลังงาน และสุขาภิบาล เพราะความเย็นช่วยชีวิตและทำให้เศรษฐกิจ โรงเรียน และโรงพยาบาลดำเนินต่อไปได้"
ความท้าทายในเมืองและการขับเคลื่อนสังคม
มารินา ซิลวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบราซิล กล่าวถึงความท้าทายในประเทศของเธอ โดยระบุว่า มีเด็กและเยาวชนประมาณ 20 ล้านคนในบราซิลเรียนในโรงเรียนที่ยังไม่มีการปรับปรุงหรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
ขณะที่ เอวานโดร ไลเตา นายกเทศมนตรีเมืองฟอร์ตาเลซา เน้นย้ำว่าการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะขาดหายไปซึ่ง ความยุติธรรมทางสังคม ไม่ได้ การจัดการกับความร้อนจัดจึงต้องดำเนินการผ่านสามวาระที่เชื่อมโยงกัน การบรรเทาผลกระทบ (Mitigation), การปรับตัว (Adaptation), และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Transformation)
การเข้าร่วมของ 185 เมืองและ 72 ประเทศใน Global Cooling Pledge ตอกย้ำถึงความตระหนักระดับโลกที่ว่าความร้อนจัดเป็นหนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการลงทุนใน "ความเย็นที่ยั่งยืน" คือการลงทุนเพื่อรักษาชีวิตและอนาคตของมนุษย์ทุกคน







