โลกร้อนกับพายุรุนแรง : บทเรียนที่อาเซียนต้องร่วมรับมือ | ASEAN Insight

ผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านกายภาพ แต่ยังส่งผลทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะชาติอาเซียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ภูมิภาคอาเซียนตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนตั้งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลกหลายแผ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “วงแหวนแห่งไฟ” (Ring of Fire) นอกจากนี้ อาเซียนยังตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียจึงมักรับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่นซึ่งเป็นพายุหมุนเขตร้อนที่มีความรุนแรงสูงสุด
ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งลมแรง ฝนตกหนัก คลื่นสูง และน้ำทะเลหนุน ซึ่งอาจนำไปสู่น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศในอาเซียนที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย และเมียนมา ตามลำดับ
กรณีล่าสุด คือ พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี (Kalmaegi) ซึ่งก่อตัวจากมหาสมุทรแปซิฟิก และพัดขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ทางตะวันออก เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 และเคลื่อนตัวเข้าสู่เวียดนามทำให้หลายพื้นที่เผชิญกับฝนตกหนักและน้ำท่วม ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก เมื่อเข้าสู่ไทยพายุได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน อย่างไรก็ตามพายุดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ ซึ่งอาจนำไปสู่น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง
ผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านกายภาพ แต่ยังส่งผลทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ จากรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย (2019) พบว่า พายุที่มีความรุนแรงสูงสุดในฟิลิปปินส์สามารถลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้ถึง 23% ขณะที่ในเวียดนามจากรายงานของ FiinGroup (2024) ระบุว่า พายุไต้ฝุ่นยากิพัดถล่มภาคเหนือเมื่อ ก.ย. 2567 ส่งผลกระทบต่อภาคโลจิสติกส์ การผลิต เกษตรกรรม การค้า และการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง โดย GDP ของประเทศในปีเดียวกันลดลงถึง 0.15% และภาคเศรษฐกิจหลักล้วนเผชิญกับภาวะถดถอย
หลายปีที่ผ่านมาอาเซียนเผชิญพายุไต้ฝุ่นที่เกิดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบมากขึ้น หนึ่งในปัจจัยเร่งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนเอื้อต่อการก่อพายุหมุนเขตร้อน ผลการศึกษานำโดยศาสตราจารย์ TAM Chi Yung Francis จาก The Chinese University of Hong Kong พบว่า พลังทำลายล้างของพายุไต้ฝุ่นในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นศตวรรษ หากภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป
จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลให้พายุไต้ฝุ่นมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี อาเซียนจำเป็นต้องยกระดับการจัดการภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาเซียนควรมีบทบาทร่วมกันในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นต้นเหตุของพายุรุนแรง โดยการส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด และการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภูมิอากาศระหว่างประเทศสมาชิก การจัดตั้งกลไกสนับสนุนทางการเงินและเทคนิค รวมถึงการผลักดันให้การวางแผนพัฒนาในระดับภูมิภาคในการร่วมกันควบคุมและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
แนวทางดังกล่าวถือแนวทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเข้มข้นและต่อเนื่องระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการควบคุมอุณหภูมิโลก ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้ COP21 โดยอาเซียนสามารถมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายระดับภูมิภาคให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ พร้อมทั้งสนับสนุนประเทศสมาชิกที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงเป้าหมายเชิงสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการลดความรุนแรงของพายุไต้ฝุ่นและภัยพิบัติอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจของภูมิภาค การดำเนินการอย่างเป็นระบบและร่วมมือกันในระดับภูมิภาคจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับอาเซียนในยุคของความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี







