เหลือเวลา 10 ปี รักษา ‘ลุ่มน้ำคองโก’ ก่อนเสียแหล่งดูดซับคาร์บอน จากการตัดไม้ทำลายป่า

ลุ่มน้ำคองโก แหล่งดูดซับคาร์บอนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไปอย่างถาวรจากการตัดไม้ทำลายป่า เหลือเวลา 10 ปีในการรักษาให้เหมือนเดิม
KEY
POINTS
- ลุ่มน้ำคองโก ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหลือเวลาเพียง 10 ปีในการแก้ไขปัญหาก่อนที่จะสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไปอย่างถาวรจากการตัดไม้ทำลายป่า
- สาเหตุหลักมาจากการทำลายป่าเพื่อการเกษตร การตัดไม้ และความต้องการถ่านที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการดูดซับคาร์บอนลดลงจาก 1,500 ล้านตัน เหลือเพียง 600 ล้านตันต่อปี
- การสูญเสียพื้นที่ป่าไม่เพียงส่งผลต่อสภาพอากาศโลก แต่ยังคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกทั่วทั้งทวีปแอฟริกา
- นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีมาตรการแทรกแซง เช่น การส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และใช้กลไกทางการเงินเพื่อสภาพอากาศ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ป่า
“ลุ่มน้ำคองโก” พื้นที่ป่าฝนเขตร้อนที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศอินเดีย กำลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเหลือเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้นในการรักษาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ให้กลับมาดังเดิม ก่อนที่โลกจะสูญเสียแหล่งดูดซับคาร์บอน ซึ่งเป็นตัวช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งนี้ไปตลอดกาล
บทสรุปสำหรับผู้บริหารของรายงานทางวิทยาศาสตร์ฉบับสมบูรณ์ฉบับแรกเกี่ยวกับสถานะของสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคที่ทอดยาวจากครอสริเวอร์ในไนจีเรียไปจนถึงหุบเขาริฟต์ในแอฟริกาตะวันออกจำนวน 800 หน้าที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ 177 คนจากทั่วลุ่มน้ำและพื้นที่อื่น ๆ ถูกเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล
ปัจจุบันป่าไม้ในลุ่มแม่น้ำคองโกสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้โลกร้อนได้ 600 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซของเยอรมนี ทำให้แอ่งนี้กลายเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนในเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่การตัดไม้ทำลายป่าทำให้พื้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูดซับคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศได้น้อยลง
“หากเราไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ภายในทศวรรษหน้า สถานการณ์จะเลวร้ายจนควบคุมไม่ได้ มีปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งเราไม่ได้แก้ไข และยังมีอีกโอกาสใหญ่ที่เรากำลังมองข้ามไป” ลี ไวท์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของกาบอง กล่าวในการสัมภาษณ์
เมื่อสองทศวรรษที่แล้ว แอ่งคองโกดูดซับคาร์บอน 1,500 ล้านตัน ตามที่ไวท์กล่าว แต่ในตอนนี้พื้นที่ป่ากำลังลดลง เนื่องจากเกษตรกรเผาทำลายป่าเพื่อทำการเกษตร ขณะเดียวกันก็มีการตัดไม้เพิ่มขึ้น และความต้องการถ่านที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ลุ่มน้ำคองโกเป็นมีพันธุ์พืชและป่าไม้มากกว่า 10,000 ชนิด และเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น รวมถึงลิงแสม 4 สายพันธุ์ ช้างป่า และโอคาปิ ซึ่งเป็นญาติของยีราฟที่ใกล้สูญพันธุ์ นับเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ขณะเดียวกันภูมิภาคนี้ก็มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซ้ำร้ายประเทศเหล่านี้กลับเกิดความยากจนเรื้อรัง มีการปกครองอ่อนแอ และต้องการพื้นที่ป่าเพื่อพัฒนาประเทศ
เช่นเดียวกับ “ป่าฝนแอมะซอน” ที่แม้จะมีพื้นที่มากกว่าลุ่มน้ำคองโกเกือบสองเท่า แต่บางส่วนของภูมิภาคกลับกลายเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกแทนที่จะเป็นแหล่งดูดซับ เนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่า ขณะที่แหล่งดูดซับคาร์บอนอื่น ๆ ของโลก รวมถึงชั้นดินเยือกแข็งถาวรและป่าทางตอนเหนือ ก็ตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามเช่นกัน เป็นผลมาจากอุณหภูมิโลกที่สุดขึ้น
ในบางแง่มุม ป่าฝนแอมะซอนก็ทำหน้าที่เป็นคำเตือนสำหรับลุ่มน้ำคองโก ไวท์กล่าวว่า ป่าแอมะซอนตอนใต้กำลังตายมากกว่าเติบโต
นอกเหนือจากบทบาทในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ลุ่มน้ำคองโกยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกทั่วทั้งทวีปแอฟริกา รวมถึงอียิปต์และประเทศต่าง ๆ ที่ขาดแคลนน้ำทั่วทั้งทวีปแอฟริกาตะวันออก ตะวันตก และเหนือ โดยประมาณ 70% ของปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเหนือลุ่มน้ำแห่งนี้จะกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศ จากนั้นจึงตกลงมาอีกครั้งในบริเวณกว้าง
“หากคุณสูญเสียลุ่มน้ำคองโกไป คุณก็สูญเสียน้ำไปด้วย” ไวท์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรีของกาบองหลังจากเดินทางมาทำวิจัยระดับปริญญาเอกในประเทศในปี 1989 กล่าว
แม้ว่าไวท์จะไม่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการรัฐประหารเพียงไม่กี่เดือนหลังจากก่อตั้งคณะกรรมการวิทยาศาสตร์แห่งลุ่มน้ำคองโกในปี 2023 แต่เพื่อนนักวิทยาศาสตร์ก็ยังเลือกเขาเป็นทูต ซึ่งถือเป็นการยอมรับในบทบาทของเขาในการริเริ่มความพยายามเรียกร้องให้จ่ายเงินเงินทุนชดเชยคาร์บอน เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้กาบองที่รักษาป่าไม้ไว้ได้
สภาพป่าในแอฟริกาแตกต่างกันไปมาก กาบองมีพื้นที่ประมาณ 90% ปกคลุมด้วยต้นไม้ แต่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ที่มีการทำไร่เลื่อนลอยอย่างแพร่หลาย และป่าเสี่ยงต่อการทำลาย เพื่อทำที่อยู่อาศัยให้คนในประเทศที่มีมากกว่า 100 ล้านคน
“มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องขจัดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องที่กำหนดเศรษฐกิจของลุ่มน้ำคองโก ป่าไม้และทรัพยากรหมุนเวียนช่วยหล่อเลี้ยงประชากรนับล้าน และรายได้ของรัฐก็เกี่ยวข้องอย่างมากกับพลังงานที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ เช่น การทำเหมืองและน้ำมัน” นักวิทยาศาสตร์เขียนไว้ในรายงาน
นักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีการแทรกแซงต่าง ๆ เพื่อหยุดยั้งการทำลายป่าในภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรที่ยั่งยืนมากขึ้น ตลอดจนการเงินเพื่อสภาพอากาศที่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการประชุม COP30
โครงการ Tropical Forest Forever Facility (TFFF) จะได้รับเงินสนับสนุนราว 5,000 ล้านดอลลาร์ จากประเทศในยุโรปเช่น ฝรั่งเศส นอร์เวย์ รวมถึงคณะกรรมาธิการยุโรป ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาแอฟริกา ซึ่งจะช่วยให้ประเทศที่มีป่าเขตร้อนจะได้รับค่าธรรมเนียมสำหรับพื้นที่อนุรักษ์ทุกเฮกตาร์ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ในอดีต ลุ่มน้ำคองโกได้รับเงินทุนด้านป่าไม้จากนานาชาติน้อยกว่าลุ่มน้ำแอมะซอนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นการปิดช่องว่างนี้ต้องอาศัยแนวทางการจัดพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งจะรวมถึงการจ่ายเงินที่สูงขึ้นจากรัฐบาลและการเพิ่มรายได้จากการขายเครดิตคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพ
“ด้วยแรงจูงใจที่เหมาะสม ผ่านตลาดคาร์บอนและกลไกอื่น ๆ ลุ่มน้ำคองโกควรได้รับเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์สำหรับการกักเก็บคาร์บอน”
ที่มา: Bloomberg, Reuters, South China Morning Post







