ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเล–ปะการัง เกาะหมาก ต้นแบบดูดคาร์บอนทรงพลัง 10 เท่า

5 ภาคีเครือข่ายร่วมกันจัดตั้ง "ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง" บนเกาะหมาก เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
KEY
POINTS
- 5 ภาคีเครือข่ายร่วมกันจัดตั้ง "ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง" บนเกาะหมาก เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
- ชูบทบาทของหญ้าทะเลเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ปัญหาโลกร้อน เนื่องจากสามารถดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 8-10 เท่า
- ศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นต้นแบบการพัฒนาที่อาศัยธรรมชาติเป็นฐาน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
“เกาะหมาก” จังหวัดตราด เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ แห่งแรกของประเทศไทย แต่ภายใต้แรงกดดันจากวิกฤติโลกร้อน ระบบนิเวศทางทะเลกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตั้งแต่การเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล การลดลงของจำนวนสัตว์น้ำที่ส่งผลให้ชาวประมงต้องออกเรือหาปลาห่างฝั่งมากขึ้น ไปจนถึงปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ 5 ภาคีพันธมิตร ได้แก่ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท., องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก และวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด (กลุ่มอนุรักษ์ปะการัง) จึงได้ร่วมกันพัฒนา “ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง” (ศูนย์หญ้าทะเลสู้โลกร้อน) เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ และสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจชุมชนกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
'หญ้าทะเล' กำลังหลักสู่ Net Zero
“กลอยตา ณ ถลาง” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับแนวทางการพัฒนาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solutions) และเล็งเห็นว่าหญ้าทะเลที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 8–10 เท่า
บางจากจึงได้เริ่มดำเนินโครงการนำร่องฟื้นฟูหญ้าทะเล ที่เกาะหมาก โดยมีคณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการ เพื่อสนับสนุนเครือข่ายท้องถิ่นในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเลให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โครงการดังกล่าวยังได้นำพลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์มาใช้ในกิจกรรมภาคสนาม เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มเติมอีกด้วย
“กลอยตา” กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันงบประมาณที่ใช้ในการศึกษาและดำเนินโครงการยังอยู่ในกรอบของงบด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) แต่ในอนาคต หาก พรบ.ลดโลกร้อน มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ งบประมาณส่วนนี้จะถูกพัฒนาให้เป็น ต้นทุนในการผลิตและต้นทุนทางธุรกิจอย่างแท้จริง
“หัวใจสำคัญที่สุดของการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ คือ ความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมของชุมชน เพราะเมื่อชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างแท้จริง โครงการก็จะสามารถเติบโตและอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว”
เกาะหมาก พื้นที่ต้นแบบ
“ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เกาะหมากมีภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยในการตั้งศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ต้องการรักษ์โลกอยู่แล้ว ดังนั้น แนวคิดคือการส่งเสริมให้ความรักโลกของคนกลุ่มนี้ได้รับการต่อยอด
“โครงการที่ประสบความสำเร็จต้องมีผลลัพธ์ที่จับต้องได้ การรณรงค์อย่างเดียวไม่เพียงพอ และการรับรองมาตรฐานระดับโลก เช่น Green Leaf หรือมาตรฐานโลว์คาร์บอนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวและบริษัทระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประกาศใช้มาตรการ CBAM ของยุโรป ซึ่งเป็นการกีดกันทางการค้าที่ใช้สิ่งแวดล้อมเป็นที่ตั้ง”
นอกจากนี้ “ดร.ธรณ์” เสนอให้เกาะหมากพิจารณาแนวทาง OECM หรือพื้นที่อนุรักษ์ทะเลภาคชุมชน ซึ่งไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์ทางทะเล 30% ภายในปี 2030 (ปัจจุบันมี 5%) เพราะเกาะหมากมีศักยภาพสูง
“คนในชุมชนที่มีความเชี่ยวชาญในการดำน้ำและตรวจสอบปะการังด้วยตนเองอยู่แล้ว แม้จะยอมรับว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมบางอย่างอาจเกินจุด Tipping Point หรือจุดวิกฤติที่หวนคืนไม่ได้แล้ว แต่ยังสามารถฟื้นฟูบางจุด เช่น แนวปะการังที่เกาะผี หรือแปลงหญ้าทะเลบางส่วนได้”
ธรรมนูญ 8 ข้อ
“นพดล สุทธิธนกูล” ประธานกลุ่มวิสาหกิจเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด และประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก กล่าวว่า เกาะหมากมีการบริหารจัดการชุมชนผ่าน "ธรรมนูญ 8 ข้อ" ซึ่งถูกติดตั้งไว้ตามสะพาน ธรรมนูญเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อป้องกันนายทุนใหญ่เข้ามาซื้อที่ และรักษาความเงียบสงบของเกาะ
ข้อบังคับสำคัญ ได้แก่ การห้ามใช้เจ็ตสกี ห้ามส่งเสียงดังหลังเที่ยงคืน ห้ามมียาเสพติด และห้ามใช้ยาฆ่าหญ้า นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้คนในพื้นที่ทำร้านสะดวกซื้อเอง มากกว่าการให้คนนอกมาเปิด
“ดีใจที่ได้เห็นความร่วมมือครั้งนี้ ในฐานะหนึ่งในตระกูลของเกาะหมากที่รักบ้านเกิด และเป็นประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการังคนแรกของจังหวัดตราด โดยเริ่มทำงานอนุรักษ์มากว่า 10 ปี ด้วยสมาชิกเพียง 2-3 คน และใช้ใจทำ โดยไม่ใช้เงิน ชื่อเสียงของเกาะหมากในการดูแลทรัพยากรใต้ทะเล และหนึ่งใน 100 แหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก ทำให้หน่วยงานหลายแห่งมองเห็นและเข้ามาให้คำปรึกษาและสนับสนุน”
The New Luxury
“ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร” ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า แนวคิด Low Carbon Destination คือ “The New Luxury” หรือความหรูหรารูปแบบใหม่ที่เน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
อพท. เข้ามาร่วมขับเคลื่อนเกาะหมากสู่ต้นแบบ Low Carbon Destination แห่งแรกของไทยด้วยการนำหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) มาใช้ โดยเข้าร่วมการบันทึกลงนามความร่วมมือภายใต้ปฏิญญาเกาะหมากจากทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน
ในปี 2555 เพื่อพัฒนาลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบครบวงจร และในปี พ.ศ. 2561 มีการระดมความคิดเห็นผ่านเวทีประชาคมของชาวเกาะหมาก ผู้ประกอบการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อหาแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยได้จัดทำเป็น “ธรรมนูญเกาะหมาก” ขึ้นมา
Green Destination
“นล สุวัจจนานนท์” นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก กล่าวว่า เกาะหมากเป็นที่รู้จักในฐานะ Green Destination มาก่อนแล้ว และได้รับรางวัล Top 100 Destination Sustainability Stories 2022 จากองค์กร Green Destination ประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังได้รับรางวัลอันดับ 2 ด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในปี 2568 จากงาน ITB Berlin
“เรามุ่งยกระดับมูลค่าการท่องเที่ยว เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว Upper Income ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การท่องเที่ยวควบคู่กับความยั่งยืน เพื่อให้เกาะหมากก้าวต่อไปในฐานะต้นแบบของแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของประเทศไทยอย่างแท้จริง”







