UN Climate Change ใช้เวที COP30 ชี้เทรนด์เศรษฐกิจโลก หมดยุคลงทุนฟอสซิล

UN Climate Change ประกาศในเวที COP30 ว่ายุคของการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยพลังงานหมุนเวียนกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักที่มีต้นทุนต่ำที่สุด และมีการลงทุนสูงกว่าเป็นเท่าตัว
KEY
POINTS
- UN Climate Change ประกาศในเวที COP30 ว่ายุคของการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยพลังงานหมุนเวียนกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักที่มีต้นทุนต่ำที่สุด และมีการลงทุนสูงกว่าเป็นเท่าตัว
- เลขาธิการบริหาร UN Climate Change เตือนถึง "เศรษฐศาสตร์แห่งความไม่ลงมือทำ" ซึ่งการเพิกเฉยต่อวิกฤติภูมิอากาศจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลให้กับทุกประเทศ
- การประชุม COP30 มีภารกิจเร่งด่วนในการผลักดันข้อตกลงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน 3 เท่า และระดมทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
‘กรุงเทพธุรกิจ’ เกาะติดการประชุมสุดยอดสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ซึ่งเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ในพิธีเปิด นาย ไซมอน สตีลล์ (Simon Stiell) เลขาธิการบริหาร UN Climate Change (ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – UNFCCC) ได้กล่าวสุนทรพจน์เรียกร้องให้โลก “เร่งความเร็ว” ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ
นายสตีลล์ ระบุว่า โลกเริ่มเห็น “เส้นโค้งการปล่อยมลพิษที่เริ่มลดลง” แล้ว ซึ่งเป็นผลจากกฎหมายของรัฐบาล และแรงขับเคลื่อนจากตลาด แต่ย้ำว่านี่ไม่ใช่เวลามองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะเรายังต้องเคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้มาก เพื่อทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและสังคม
“เราต้องนำอุณหภูมิโลกกลับสู่เป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส แม้จะเกิดการทะลุชั่วคราวขึ้นก็ตาม การโอดครวญไม่ใช่กลยุทธ์ สิ่งที่เราต้องการคือทางออก”
นายสตีลล์ เปรียบเทียบกระบวนการ COP ว่าควรทำงานเหมือน ระบบแม่น้ำแอมะซอน ที่ปากแม่น้ำใหญ่แห่งนี้ ซึ่งไหลรวมจากลำน้ำสาขากว่าพันสาย เพื่อขับเคลื่อนพลังมหาศาลสู่ทะเล เช่นเดียวกับที่ COP ต้องหลอมรวมความร่วมมือจากทุกประเทศ เพราะคำมั่นของแต่ละชาติแยกกันเพียงอย่างเดียว ไม่อาจลดการปล่อยมลพิษได้เร็วพอ
เตือนภัย “เศรษฐศาสตร์แห่งความไม่ลงมือทำ”
นายสตีลล์ เตือนว่า การเพิกเฉยต่อวิกฤติภูมิอากาศจะนำมาซึ่งต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล การลังเลในยามที่ภัยแล้งทำลายพืชผล และดันราคาอาหารพุ่งสูงนั้น ไร้เหตุผลทั้งในทางเศรษฐกิจ และการเมือง หากประชาคมโลกยังมัวโต้เถียงกันขณะผู้คนนับล้านเผชิญความอดอยาก และต้องลี้ภัยจากมาตุภูมิ ประวัติศาสตร์จะไม่มีวันให้อภัยเรา
“ไม่มีประเทศใดสามารถรับมือได้ หากภัยพิบัติทางสภาพอากาศฉุด GDP ลงเป็นตัวเลขสองหลัก”
เศรษฐศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านสีเขียวเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมได้กลายเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในกว่า 90% ของโลก และในปีนี้ พลังงานหมุนเวียนได้แซงหน้าถ่านหินขึ้นเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกแล้ว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวกำลังพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีสัดส่วนมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงสองเท่า
“นี่คือเรื่องราวการเติบโตแห่งศตวรรษที่ 21 และเป็นการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจของยุคสมัยเรา ทุกการลงทุนเพื่อความยืดหยุ่นคือ การช่วยชีวิต เสริมชุมชน และปกป้องห่วงโซ่อุปทานที่เศรษฐกิจโลกพึ่งพาอยู่”
ภารกิจหลักของ COP30 ที่เบเลง
นายสตีลล์ ระบุว่า การประชุม COP30 ต้องเป็นจุดเปลี่ยนของการปฏิบัติจริง เพื่อให้โลกเดินหน้าอย่างเป็นธรรม และเป็นระบบ หลังจากที่ได้ตกลงกันแล้วว่า โลกต้องเดินหน้าออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล “ภารกิจเร่งด่วน” ที่ต้องบรรลุที่เบเลง ได้แก่
- บรรลุข้อตกลงเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน “3 เท่า” และเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน “2 เท่า”
- ผลักดัน “แผนงานบากูสู่เบเลง” (Baku to Belém Roadmap) เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการเงิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ประเทศพัฒนาแล้วให้คำมั่นไว้เพียง 300,000 ล้านดอลลาร์
- กำหนดตัวชี้วัดระดับโลกด้านการปรับตัว (Global Goal on Adaptation Indicators) เพื่อเร่งยกระดับความพร้อมรับมือ
- เห็นชอบขั้นตอนที่เป็นรูปธรรม เพื่อแปลงความปรารถนาเรื่องการเปลี่ยนผ่านที่ทั่วถึงให้เป็นการปฏิบัติจริง
- เริ่มดำเนินโครงการนำร่องเทคโนโลยีภูมิอากาศ ตามที่ได้ตกลงไว้
นายสตีลล์ ย้ำว่า ผู้เข้าร่วมประชุมจำเป็นต้องนำแผนงาน Baku to Belém Roadmap มาปฏิบัติเพื่อเริ่มก้าวไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าประเทศพัฒนาแล้วจะเป็นผู้นำในการจัดหาเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การมุ่งหน้าสู่เป้าหมายทางการเงินจำนวนมากนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจับคู่โอกาสให้เท่ากับขนาดของวิกฤติที่โลกกำลังเผชิญอยู่ โดยมีจุดเน้นที่การจัดทำข้อตกลงเพื่อเร่งรัดการเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้เป็นสามเท่า และการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานให้เป็นสองเท่า ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเป็นระเบียบ และเป็นธรรม
ลงมือทำต่อสู้กับวิกฤติภูมิอากาศ
ในตอนท้ายของสุนทรพจน์ นายสตีลล์ อ้างคำกล่าวของ ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ว่า “เกียรติยศเป็นของผู้ที่อยู่ในสนามรบ ใบหน้าเปื้อนฝุ่น เหงื่อ และเลือด” พร้อมเน้นว่าในสนามของ COP30 นี้ หน้าที่ของทุกคนคือ การต่อสู้กับวิกฤติภูมิอากาศร่วมกัน
“ข้อตกลงปารีสกำลังเดินหน้า และเริ่มส่งผลจริง แต่เราจำเป็นต้องต่อสู้อย่างกล้าหาญยิ่งกว่าเดิม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าเดิม”
ที่มารูป: COP30 Brasil Amazônia
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







