เส้นทางไทยสู่ Net Zero 2050 | คิดอนาคต

เส้นทางไทยสู่ Net Zero 2050 | คิดอนาคต

การตัดสินใจของรัฐบาลเมื่อวันที่ 4 พ.ย.2568 โดยอนุมัติ NDC 3.0 และขยับเป้า Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี เป็น ค.ศ.2050 นับเป็นก้าวสำคัญของนโยบายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไทย

ที่น่าชื่นชมทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยผลักดัน เป็นการปรับจังหวะประเทศให้เดินก้าวทันโลกอีกครั้ง NDC 3.0 วางกรอบเป้าหมายให้ไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในช่วงปี 2574-2578 (หรือลดลง 47% จากปี 2562) เป็นการยกระดับจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ และสอดคล้องกับเส้นทางจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

ที่ผ่านมาหลายปี ไทยประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปีเป้าหมายที่ค่อนข้างช้ากว่าหลายประเทศในอาเซียนและโลก โดยเดิมไทยตั้งเป้า Net Zero ค.ศ.2065 ในขณะที่หลายประเทศตั้งเป้าไว้ที่ ค.ศ.2050

ในขณะที่ในมิติทางเศรษฐกิจ ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังขยับสู่ยุคที่วัดกันด้วยคาร์บอนฟุตพรินต์มากขึ้น แทนที่จะพิจารณาเพียงราคาและคุณภาพอย่างเดียว บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จำนวนมากประกาศชัดว่าจะซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศที่มีเป้าหมาย Net Zero ภายใน ค.ศ. 2050 เท่านั้น ขณะเดียวกันมาตรฐานของประเทศสมาชิก OECD ซึ่งไทยอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าร่วมต่างกำหนดเป้า Net Zero ในปี 2050 เช่นกัน

เป้าหมายเดิมที่ ค.ศ.2065 จึงเท่ากับเดินช้ากว่ามาตรฐานการค้าโลก อาจถูกมองว่าไทยไม่พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และหลุดจากวงจรการค้าโลกโดยไม่รู้ตัว 

เรื่องเป้าหมายคาร์บอนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่คือความอยู่รอดและโอกาสทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่

เป้าหมายใหม่ Net Zero 2050 ยังเชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมุ่งดึงเม็ดเงินลงทุนสีเขียวจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาท เข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ พร้อมขยายโอกาสให้ภาคเอกชนไทยเข้าสู่ตลาดใหม่ ตั้งแต่ EV พลังงานสะอาด ไปจนถึงเทคโนโลยี Carbon Credit และ Carbon Capture Storage (CCS)

อย่างไรก็ตาม การเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี ไม่ควรเป็นเพียงคำประกาศเชิงสัญลักษณ์ แต่ควรนำไปสู่การลดจริงเร็วขึ้นประมาณ 50% จากเดิม

ซึ่งไทยต้องลดการปล่อยก๊าซเฉลี่ยปีละประมาณ 9.3 ล้านตันจากระดับ 287 ล้านตันใน ค.ศ. 2019 ให้เหลือศูนย์ภายใน ค.ศ.2050 จึงเป็นภารกิจขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ทุกเครื่องมือ ทั้งภาษีคาร์บอน ระบบซื้อขายคาร์บอน พลังงานหมุนเวียน การคมนาคมไฟฟ้า เกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ และการเพิ่มพื้นที่ป่าดูดซับคาร์บอน

NDC 3.0 ออกแบบให้ครอบคลุม 5 สาขาหลัก ได้แก่ พลังงานและคมนาคม อุตสาหกรรม เกษตร ของเสีย และป่าไม้ โดยให้ไทยลดก๊าซ 70% ด้วยศักยภาพภายในประเทศ และอีก 30% อาศัยความร่วมมือด้านเทคนิคและการเงินจากต่างประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถยกระดับมาตรฐานสู่ระดับโลก เปลี่ยนภาระโลกร้อนให้เป็นโอกาสใหม่ที่บูรณาการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน

ในต่างประเทศ จะเห็นว่าหลายประเทศได้สร้างต้นแบบการเดินสู่ Net Zero ที่จับต้องได้จริง เช่น สวีเดน ตรากฎหมาย Climate Act ตั้งแต่ ค.ศ.2017 บังคับให้รัฐบาลทุกชุดต้องดำเนินนโยบายสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ค.ศ.2045 นอกจากภาษีคาร์บอน ยังมีระบบติดตามผล คณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส บทเรียนสำคัญคือความจริงจังต้องเริ่มจากโครงสร้างไม่ใช่เพียงคำประกาศ

เดนมาร์กก็เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ภายใต้กฎหมาย Climate Act 2020 ประเทศตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซ 70% ภายใน ค.ศ. 2030 และจัดเก็บภาษีคาร์บอนในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะฟาร์มโคเนื้อและโคนม

แม้มีแรงต้านจากเกษตรกร แต่รัฐบาลยังเดินหน้าพร้อมมาตรการเยียวยาและสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาด เช่น ปุ๋ยชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน ชี้ให้เห็นว่าความกล้าทางนโยบายเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่าน

ในประเทศกำลังพัฒนา ชิลี คือ กรณีศึกษาน่าสนใจ ได้ตั้งเป้าคาร์บอนเป็นกลาง ค.ศ.2050 และประกาศงบประมาณคาร์บอนแห่งชาติที่ระบุปริมาณการลดก๊าซของแต่ละภาคส่วนภายในค.ศ.2030 และค.ศ.2040 พร้อมตรากฎหมาย Framework Law on Climate Change

เพื่อวางโครงสร้างบริหารจากส่วนกลางถึงท้องถิ่นอย่างชัดเจน ชิลีใช้จุดแข็งด้านภูมิอากาศผลักดันการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว จนกลายเป็นศูนย์กลางพลังงานสะอาดของภูมิภาคลาตินอเมริกา

คอสตาริกาเป็นอีกประเทศที่น่าศึกษา ใช้ยุทธศาสตร์ธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solutions) อย่างจริงจัง ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้กว่า 98% ของความต้องการในประเทศ และมีนโยบายฟื้นฟูป่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก

ผ่านโครงการจ่ายค่าตอบแทนการดูแลระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Services) ทำให้ชุมชนมีรายได้จากการอนุรักษ์แทนการตัดไม้ขาย

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ว่า การบรรลุ Net Zero ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความร่ำรวยของประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับวิธีคิดและระบบนโยบายที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นจริง ประเทศที่ทำได้ดีมักมี 3 ปัจจัยร่วมคือ (1) กรอบกฎหมายและเป้าหมายระยะกลางที่ชัดเจน (2) การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะท้องถิ่น และ (3) การผสานนวัตกรรมเข้ากับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างสอดคล้อง

สำหรับประเทศไทย การยกระดับสู่ Net Zero 2050 นอกจากจะเป็นเป้าหมายในมิติสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการรีบูตเศรษฐกิจในยุคใหม่ที่กำลังขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจสีเขียว การลงทุนคาร์บอนต่ำ และเทคโนโลยีสะอาด การประกาศเป้าใหม่ล่าสุดนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสในการกำหนดบทบาทของไทยในเศรษฐกิจยุค Net Zero

 

เส้นทางไทยสู่ Net Zero 2050 | คิดอนาคต