อพท. ชูแนวทางยั่งยืน 'ชุมชนอยู่ได้–นักท่องเที่ยวสุขใจ' ปักธงได้มาตรฐานโลก

อพท. ชูแนวทางยั่งยืน 'ชุมชนอยู่ได้–นักท่องเที่ยวสุขใจ' ปักธงได้มาตรฐานโลก

อพท. ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “ชุมชนอยู่ได้ นักท่องเที่ยวสุขใจ” โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ของคนในพื้นที่มากกว่ารายได้

KEY

POINTS

  • อพท. ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “ชุมชนอยู่ได้ นักท่องเที่ยวสุขใจ” โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ของคนในพื้นที่มากกว่ารายได้
  • มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในพื้นที่พิเศษ เช่น กระเช้าภูกระดึง และท่าเทียบเรือสลักเพชร เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและกระจายรายได้
  • ตั้งเป้าผลักดันพื้นที่ท่องเที่ยวให้ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก เช่น เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UCCN) และ Green Destination
  • ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาพื้นที่ ก่อนส่งมอบให้ท้องถิ่นบริหารจัดการต่ออย่างยั่งยืน

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ก่อตั้งมากว่า 22 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจ “ท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน” ปัจจุบันมีหน้าที่บริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 9 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ที่มุ่งให้ ชุมชนได้ประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานครบถ้วน และพื้นที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก พร้อมวางแผน “ส่งมอบ” พื้นที่ที่พัฒนาแล้วอย่างสมบูรณ์ให้ท้องถิ่นเข้าบริหารต่ออย่างต่อเนื่อง

"ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร" ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เปิดเผยกับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ถึงทิศทางการทำงานหลังเข้ารับตำแหน่งครบ 6 เดือน ว่า อพท. ให้ความสำคัญกับ 3 นโยบายหลัก เพื่อขับเคลื่อนแนวคิด “การท่องเที่ยวที่คนอยู่ได้–นักท่องเที่ยวสุขใจ” ได้แก่

1. เน้นประโยชน์ของชุมชนมากกว่ารายได้

อพท. ให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่กลับคืนสู่คนในพื้นที่มากกว่าเพียง “รายได้” โดยยึดหลักว่าการท่องเที่ยวที่ดีต้องทำให้ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นมีความสุขร่วมกัน แนวคิดนี้สะท้อนผ่านการใช้ “ดัชนีความสุข” (Happiness Index) เป็นหนึ่งในเครื่องมือบริหารจัดการ เพื่อป้องกันปัญหาความแออัด ความเดือดร้อน หรือความไม่พึงพอใจของคนในชุมชน

2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเติบโต

นอกจากการทำงานร่วมกับชุมชนแล้ว อพท.ยังมีบทบาทในโครงการเมกะโปรเจกต์ระดับประเทศ เช่น

  • โครงการกระเช้าภูกระดึง เพื่อเพิ่มวันพักและกระจายรายได้สู่พื้นที่รอบอุทยานฯ
  • การผลักดัน ท่าเทียบเรือสลักเพชร ที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างเรือนำเที่ยวและเรือประมงชุมชน
  • การพัฒนา เกาะกูดสู่พื้นที่โลว์คาร์บอน อย่างแท้จริง เพื่อเป็นต้นแบบของการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3. ยกระดับมาตรฐานสู่ระดับสากล

อพท. ตั้งเป้าผลักดันพื้นที่พิเศษเข้าสู่การรับรองมาตรฐานระดับโลก เช่น

  • เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีแล้ว 7 พื้นที่ และมีแผนเสนอเพิ่มจังหวัดสงขลาและน่านภายในปีนี้
  • มาตรฐาน Green Destination และ รางวัล PATA Award ที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนในระดับนานาชาติ

“ศิริปกรณ์” ย้ำว่า มาตรฐานเหล่านี้ไม่ได้วัดจากความสวยงามหรือชื่อเสียงของสถานที่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ มาตรฐานการจัดการที่ยั่งยืนจริง

“ตัวกลาง” เชื่อมหน่วยงานรัฐ แก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน

อพท. ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ “บูรณาการและประสาน” การใช้งบประมาณระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่พิเศษที่มีความซับซ้อนทางกฎหมายหรือการบริหาร

หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือ โครงการปรับปรุงถนนรอบเกาะช้าง ที่ยังเหลือช่วงทางยาวประมาณ 11 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ อพท. จึงทำหน้าที่ประสานระหว่าง กรมทางหลวงชนบท และ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อให้การก่อสร้างสามารถดำเนินต่อได้อย่างถูกต้องและสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์

“เราทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลาง เชื่อมโยงหน่วยงานเจ้าของพื้นที่กับหน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินงาน เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้จริง โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคนในชุมชน”

ส่งมอบพื้นที่สมบูรณ์สู่ท้องถิ่น คือเป้าหมายสูงสุด

“ศิริปกรณ์” ระบุว่า เป้าหมายระยะยาวของ อพท. คือ “การส่งมอบ” พื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาอย่างครบวงจรกลับคืนให้หน่วยงานท้องถิ่นเข้าบริหารต่อ เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

“อพท. จะไม่อยู่ในพื้นที่ตลอดไป แต่จะทำหน้าที่พัฒนา วางระบบ และส่งต่อให้ท้องถิ่นสามารถบริหารได้เองอย่างยั่งยืน นี่คือความหมายแท้จริงของคำว่า พัฒนาเพื่อการส่งมอบ”