วิกฤติจัดการน้ำท่วม 'เปิดประตูน้ำ 1 เมตร 10 วัน' จุดชนวนทางออกหรือขาดการคิดเชิงระบบ?

ความขัดแย้งเชิงนโยบายสะท้อนความทุกข์ของประชาชน เหตุใดการตัดสินใจฉุกเฉินจึงขาดการประเมินผลกระทบเชิงระบบ หน่วยงานรับผิดชอบต้องเร่งแถลง ชี้แจงด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และหยุดสร้างความตระหนก ท่ามกลางข่าวดีภาคเหนือ/อีสานอากาศเย็นลง สวนทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกเฝ้าระวังฝนหนัก 18-20 พ.ย.
KEY
POINTS
- การตัดสินใจเปิดประตูระบายน้ำบางกุ้ง 1 เมตร เป็นเวลา 10 วัน เกิดขึ้นจากแรงกดดันของชาวบ้านในพื้นที่น้ำท่วมขัง จ.พระนครศรีอยุธยา
- การกระทำดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขาดการคิดเชิงระบบ และอาจสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ปลายน้ำ
- ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้รัฐบาลใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สร้าง 'ฉากทัศน์' เพื่อประเมินผลกระทบอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ และต้องมีกลไกชดเชยความเสียหายที่ชัดเจน
- หน่วยงานรัฐถูกเรียกร้องให้ออกมาแถลงข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใส เพื่อลดความสับสนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ความขัดแย้งเชิงนโยบายสะท้อนความทุกข์ของประชาชน เหตุใดการตัดสินใจฉุกเฉินจึงขาดการประเมินผลกระทบเชิงระบบ หน่วยงานรับผิดชอบต้องเร่งแถลง ชี้แจงด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และหยุดสร้างความตระหนก ท่ามกลางข่าวดีภาคเหนือ/อีสานอากาศเย็นลง สวนทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกเฝ้าระวังฝนตกหนัก 18-20 พ.ย.
ความขัดแย้งที่ประตูน้ำ การตัดสินใจที่เดิมพันด้วยความสูญเสียของชาวบ้าน
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลและความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ว่า การตัดสินใจทดลอง "เปิดประตูระบายน้ำบางกุ้ง 1 เมตร เป็นเวลา 10 วัน" ตามข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังยาวนานในพื้นที่บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งในสังคม เนื่องจากถูกมองว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าภายใต้แรงกดดันทางการเมืองและสังคม โดยอาจนำไปสู่การถ่ายโอนความเสียหายไปยังพื้นที่ปลายน้ำ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างหนักว่า การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการ "ทดลองบนความทุกข์และความสูญเสีย" ของชาวบ้านในพื้นที่อื่นที่อาจได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำเพิ่ม ซึ่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้วนั้นไม่อาจเอากลับคืนมาได้ นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึง การขาดการคิดเชิงระบบ (Systematic Thinking) ในการบริหารจัดการน้ำท่วม
เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน ต้องมี 'ฉากทัศน์' ประเมินผลเชิงรุก
ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนส่วนหนึ่งเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมชลประทานและรัฐบาล ควรปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาจาก "การตอบสนองตามแรงกดดัน" ไปสู่ "การจัดการเชิงระบบที่โปร่งใสและเป็นวิทยาศาสตร์"
เน้นการประเมินเชิงระบบ: ควรมีการสร้าง 'ฉากทัศน์ในอนาคต' (Future Scenarios) ที่ชัดเจน โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลวัดที่ยอมรับร่วมกัน (เช่น ภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลระดับน้ำ) เพื่อประเมินผลดีและผลเสียของการปิด-เปิดประตูน้ำบางกุ้งต่อพื้นที่ทั้งหมด (ต้นน้ำ, ทุ่งรับน้ำ, ปลายน้ำ และพื้นที่เศรษฐกิจ) อย่างครอบคลุม ทั้งในระยะใกล้ กลาง และไกล ก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ
ใครรับผิดชอบความสูญเสีย?: รัฐบาลต้องกำหนดกลไกและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนในการชดเชยเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจบริหารจัดการน้ำของรัฐอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระของประชาชนที่ตกเป็น "เหยื่อ" ของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
การสื่อสารวิกฤติ ต้องมีสติและฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ การสื่อสารของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การโพสต์ข่าวที่สร้างความตระหนกโดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลที่น่าเชื่อถือจะยิ่งทำให้สังคมเกิดความสับสนและแตกแยก
หน่วยงานรัฐต้องออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และตั้งอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Data-Driven Decision Making) เพื่อให้ประชาชนสามารถเสพข่าวได้อย่างมีสติและไว้วางใจในการทำงานของรัฐ
จับตา ข่าวดีอากาศเย็นมาเยือน – แต่ภาคใต้ยังต้องเฝ้าระวัง
ในส่วนของการพยากรณ์สภาพอากาศ มีข่าวดีสำหรับพื้นที่ตอนบนของประเทศคือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จะมีฝนลดลงและเริ่มเข้าสู่โหมดของความเย็นตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.
อย่างไรก็ตาม ข่าวไม่ดีคือ ภาคใต้ฝั่งตะวันออกยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก โดยเฉพาะในช่วง วันที่ 18-20 พ.ย. เนื่องจากอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานป้องกันภัยพิบัติไม่ควรละเลย และต้องเตรียมแผนเผชิญเหตุอย่างรอบด้าน







