นักวิ่งมาราธอนวิ่งช้าลง เพราะ ‘มลพิษทางอากาศ’ ยิ่งฝุ่นเยอะ ยิ่งทำเวลาไม่ดี

นักวิจัยพบว่า นักวิ่งมาราธอนมักจะทำเวลาได้ช้าลง ในการแข่งขันที่อยู่ในพื้นที่ที่มี “มลพิษทางอากาศ” สูงมากขึ้น
KEY
POINTS
- งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์พบว่าระดับฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้นในอากาศมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเวลาเข้าเส้นชัยที่ช้าลงของนักวิ่งมาราธอน
- ทุกๆ 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เวลาเข้าเส้นชัยโดยเฉลี่ยของผู้ชายช้าลง 32 วินาที และผู้หญิงช้าลง 25 วินาที
- ฝุ่น PM2.5 สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสมรรถภาพการวิ่งและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- นักวิ่งที่ทำความเร็วได้สูงอาจได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากหายใจเอาอากาศและมลพิษเข้าไปในปริมาณที่สูงกว่านักวิ่งทั่วไป
นักวิ่งมาราธอนทุกคนล้วนเคยมีวันที่ทำเวลาได้ไม่ดี อาจมาจากความเครียด ความชื้นสูง กินข้าวมากเกินไป ตะคริวกิน หรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย แต่จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าสาเหตุที่ทำให้จังหวะการวิ่งช้าลงอาจมาจาก “มลพิษทางอากาศ”
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์วิเคราะห์ชุดข้อมูลเวลาเข้าเส้นชัยมาราธอนหลายล้านครั้งจากการวิ่งมาราธอน 9 รายการใหญ่ของสหรัฐ เช่น นิวยอร์กซิตี้ บอสตัน และลอสแอนเจลิส ตั้งแต่ปี 2003-2019 รวมเป็นเวลา 17 ปี พบว่าเมื่อระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่า “PM2.5” ในอากาศที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ยแล้วมีความสัมพันธ์โดยตรงกับเวลาที่เข้าเส้นชัยช้าลง
อนุภาคขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะทำให้เวลาเข้าเส้นชัยโดยเฉลี่ยของผู้ชายจะช้าลง 32 วินาที และผู้หญิงจะช้าลง 25 วินาที นั่นหมายความว่าแม้ในวันที่มีมลพิษปานกลาง เวลาอาจช้าลงได้หลายนาที
“แม้แต่ในกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี มลพิษทางอากาศก็ส่งผลกระทบที่สำคัญ ถึงจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม” โจเซฟ เอ็ม. บราวน์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบราวน์ กล่าว
มลพิษฝุ่นละอองส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น เผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ไอเสียจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลก็มีส่วนทำให้เกิดเช่นกัน เช่นเดียวกับไฟป่า การเผาขยะ หรือการเผาไม้เพื่อประกอบอาหารหรือให้ความร้อน
การสัมผัส PM2.5 ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็อาจเป็นอันตรายได้ ฝุ่นละอองขนาดเล็กเหล่านี้สามารถเข้าไปลึกถึงปอดและเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบ ไอ หรือแน่นหน้าอก สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจทำให้โรคหอบหืดหรือหลอดลมอักเสบรุนแรงขึ้น และอาจกระตุ้นให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวายได้
ถึงแม้ว่าคุณภาพอากาศในหลายพื้นที่ของสหรัฐจะดีขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าในการควบคุมมลพิษ แต่ความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของมลพิษในระยะสั้นกลับเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากควันไฟป่าทั่วภาคตะวันตกของสหรัฐและแคนาดา ขณะเดียวกันรัฐบาลทรัมป์ยังคงดำเนินการยกเลิกกฎระเบียบหลายฉบับ รวมถึงข้อจำกัดเกี่ยวกับมลพิษจากท่อไอเสียและปล่องควัน
เพื่อทำแผนที่มลพิษ นักวิจัยได้ใช้แบบจำลองการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อประเมินระดับ PM2.5 ตามเส้นทางวิ่งมาราธอนในแต่ละวัน โดยอ้างอิงจากค่าที่อ่านได้จากสถานีตรวจวัด พบว่าการวิ่งมาราธอนที่ลอสแอนเจลิสมีระดับมลพิษเฉลี่ยสูงสุดโดยประมาณ และใช้เวลาเข้าเส้นชัยเฉลี่ยที่ช้าที่สุดในบรรดานักวิ่ง แม้ว่าอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเวลาเข้าเส้นชัย เช่น แข่งขันในสภาพอากาศอบอุ่น และมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยก็ยังพบว่ามลพิษทางอากาศที่สูงขึ้น ทำให้นักวิ่งเข้าเส้นชัยช้าลงกว่า 2.6 ล้านครั้งแม้ว่าจะเป็นคนละปีกันก็ตาม
นักวิจัยตั้งทฤษฎีว่านักวิ่งมาราธอนระดับแนวหน้าจะสามารถรับมือกับมลพิษทางอากาศและความเครียดจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้ดีกว่า แต่ใช่ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เนื่องจากนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยเร็วกว่าค่าเฉลี่ย มักจะวิ่งได้ช้าลง ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาหายใจเอาอากาศเข้าไปมากกว่า และวิ่งเร็วกว่า โดยสูดเอามลพิษเข้าไปในปริมาณที่มากกว่า
นักวิ่งที่วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 5:45 นาทีต่อไมล์หรือเร็วกว่า จะวิ่งช้าลงประมาณหนึ่งวินาทีต่อไมล์สำหรับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส ส่วน นักวิ่งที่วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 7:25-10:00 นาทีต่อไมล์ จะวิ่งช้าลงระหว่างสี่ถึงสี่วินาทีครึ่งต่อไมล์สำหรับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1 องศาเซลเซียส
“แม้แต่ระดับ PM2.5 ที่ลดลงเพียงไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในวันแข่งขัน ก็อาจเป็นตัวกำหนดว่าจะทำลายสถิติหรือไม่” ศ.บราวน์กล่าว
ความร้อนและความชื้นเป็นอีกหนึ่งข้อกังวลสำคัญสำหรับนักวิ่ง จากการวิเคราะห์มาราธอน 221 ครั้งโดย Climate Central กลุ่มวิจัยไม่แสวงหาผลกำไร พบว่าอุณหภูมิเย็นที่ช่วยให้นักวิ่งทำผลงานได้ดีที่สุด ซึ่งสวนทางกับปัจจุบันที่โลกร้อนขึ้น
นักวิจัยยังพบว่าสถิติโลกส่วนใหญ่ สถิติการวิ่งที่ทำลายสถิติของมาราธอนใหญ่ 7 รายการในอเมริกาเหนือ และสถิติการวิ่งมาราธอน 10 อันดับแรกตลอดกาล เกิดขึ้นที่อุณหภูมิระหว่าง 10-15 องศาเซลเซียส ดังนั้นอุณหภูมิเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อสภาพอากาศที่ส่งผลต่อเวลาเข้าเส้นชัย
ทั้งนี้ อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการวิ่งสำหรับผู้หญิงมักจะอยู่ในระดับที่เย็นกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักวิ่งหญิงที่วิ่งได้เร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นน้อยกว่าผู้ชาย
คาร์ลอส กูลด์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าวว่า นักวิจัยได้ทำงานอย่างหนักในการพยายามแยกแยะผลกระทบของมลพิษ พร้อมกับตระหนักว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย “นี่เป็นหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่ามลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อทุกส่วนของชีวิตเราอย่างแท้จริง” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังพบว่าการวิ่งในอากาศร้อนนั้นง่ายขึ้นและมีประโยชน์มากมาย โดยการออกกำลังกายในอากาศร้อนซ้ำ ๆ จะช่วยวัดผลทางสรีรวิทยา เช่น ค่า VO2 max และค่าแลคเตต รวมถึงพารามิเตอร์ของระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ปริมาณเลือดที่หัวใจสูบฉีดและปริมาตรพลาสมาได้ดีขึ้น การปรับตัวให้ชินนี้สามารถนำไปสู่เวลาที่รวดเร็วขึ้นได้ ไม่ว่าสภาพอากาศจะเย็นหรือร้อนก็ตาม
ที่มา: Run, Scientific American, The New York Times







