ปี 2024 ร้อนสุดในรอบแสนปี ใกล้ถึงจุดวิกฤติเต็มที ต้องลดโลกร้อนก่อนสายเกินไป

ปี 2024 อาจเป็นปีที่ร้อนที่สุดของโลกในรอบอย่างน้อย 125,000 ปี โดยรายงานกล่าวย้ำว่าโลกของเรา “ใกล้ถึงจุดวิกฤติ” และสัญญาณเตือนกำลังดังลั่น
KEY
POINTS
- ปี 2024 ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 125,000 ปี โดยอุณหภูมิพื้นผิวโลกและปริมาณก๊าซเรือนกระจกพุ่งสูงทำลายสถิติ
- สัญญาณชีพของโลกหลายรายการอยู่ในภาวะวิกฤต เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ความร้อนในมหาสมุทรที่ทำให้เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุด และการสูญเสียพื้นที่ป่าจากไฟป่า
- รายงานเตือนว่าโลกกำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ และเรียกร้องให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
รายงานฉบับใหม่ซึ่งนำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตท ร่วมกับสถาบันวิจัยผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศพอตสดัม (PIK) ชี้ให้เห็นว่าปี 2024 น่าจะร้อนกว่าจุดสูงสุดของยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ 125,000 ปีก่อน
นักวิจัยได้ติดตาม “สัญญาณชีพของโลก” 34 รายการ รวมถึงอุณหภูมิโลก ระดับก๊าซเรือนกระจก การสูญเสียน้ำแข็งในทะเล และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เพื่อประเมินสภาวะสุขภาพของโลก ตัวบ่งชี้เหล่านี้ต่อยอดจากกรอบการทำงานที่ Ripple และคณะได้ริเริ่มขึ้นในปี 2020 ซึ่งปัจจุบันได้ออกประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากนักวิทยาศาสตร์เกือบ 15,800 คนทั่วโลก
“ขณะนี้เรากำลังเห็นสัญญาณชีพทำลายสถิติอย่างมหาศาล ทั้งอุณหภูมิพื้นผิว ปริมาณความร้อนในมหาสมุทร การสูญเสียน้ำแข็งในทะเล และการสูญเสียต้นไม้ปกคลุมอันเนื่องมาจากไฟป่า” โยฮัน ร็อกสตรอม ผู้อำนวยการ PIK และผู้เขียนร่วมของการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร BioScience กล่าว
อุณหภูมิพื้นผิวโลกในปี 2024 สูงเกินกว่าระดับที่เคยพบเห็นนับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 125,000 ปีก่อน ขณะที่ช่วงทศวรรษระหว่างปี 2015-2024 ถือเป็นช่วง 10 ปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตามข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก
ภายในกลางปี 2025 อุณหภูมิพื้นผิวโลกสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตถึง 1.54 องศาเซลเซียส และอยู่ในระดับสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ สิ่งนี้ยืนยันว่าแนวโน้มภาวะโลกร้อนในระยะยาวกำลังทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้โลกยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ผู้เขียนรายงานระบุว่า ระดับก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ในบรรยากาศ ล้วนอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในปี 2025 โดยในเดือนพฤษภาคม 2025 ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยที่หอดูดาวเมานาโลอาในฮาวาย สูงเกิน 430 ส่วนในล้านส่วน เป็นระดับที่ไม่น่าจะพบเห็นได้ในรอบหลายล้านปี
ขณะเดียวกัน จำนวนวันที่มีอุณหภูมิสูงสุดเกินค่าเฉลี่ยในอดีตก็พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 เช่นกัน เห็นได้จากอุบัติการณ์ของความร้อนจัด ซึ่งคำนวณจากสัดส่วนของวันที่อุณหภูมิสูงสุดเกินเปอร์เซ็นไทล์ที่ 90 ของช่วงฐานระหว่างปี 1961–1990 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024
ในปี 2024 ความร้อนในมหาสมุทรพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา โดยส่งผลกระทบต่อแนวปะการังทั่วโลกประมาณ 84% ระหว่างเดือนมกราคม 2023 - พฤษภาคม 2025
รายงาน Global Tipping Points ฉบับที่ 2 จากนักวิจัยจากสถาบันโกลบอลซิสเต็มส์ มหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ เตือนว่า ระบบปะการังน้ำอุ่นซึ่งมีความสำคัญต่อการประมงและการดำรงชีวิตตามแนวชายฝั่ง ได้ผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญ เสี่ยงต่อการล่มสลายอย่างถาวร
ขณะที่ อัตราการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้อันเนื่องมาจากไฟป่าทั่วโลกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในปี 2023 ไฟป่าในป่าดิบเขตร้อนเพิ่มขึ้น 370% ส่งผลให้มีการปล่อยมลพิษและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
รายงานระบุว่าน้ำแข็งในอาร์กติกและแอนตาร์กติกกำลังละลายในอัตราที่น่าตกใจ ในปี 2024 พื้นที่น้ำแข็งในทะเลอาร์กติกลดลงเหลือ 4.28 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ทางด้านกรีนแลนด์สูญเสียน้ำแข็งไป 5,540 กิกะตัน ขณะที่แอนตาร์กติกาสูญเสียไป 2,660 กิกะตัน ซึ่งทำให้ปริมาณน้ำแข็งสำรองของโลกลดลงอย่างมาก
ธารน้ำแข็งทั่วโลกยังคงบางลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ข้อมูลในรายงานชี้ให้เห็นว่าแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตกอาจกำลังผ่านจุดเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำทะเลของโลกสูงขึ้นหลายเมตร ขณะนี้สัญญาณของโลกร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั่วโลก รวมถึงในมหาสมุทรและบริเวณขั้วโลก
แม้พลังงานหมุนเวียนจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจะเพิ่มขึ้น 16.4% แต่การบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงสูงกว่าถึง 31 เท่า ทำให้ในปี 2024 เป็นปีที่มีการใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสูงถึง 40.8 กิกะตันเทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์
สำหรับประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน (30.7%) สหรัฐ (12.5%) อินเดีย (8%) สหภาพยุโรป (6.1%) และรัสเซีย (5.5%) คิดเป็นเกือบสองในสามของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ รายงานเตือนว่าโลกกำลังใกล้จะถึงจุดพลิกผันที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ในหลายระบบ เช่น แผ่นน้ำแข็ง ชั้นดินเยือกแข็งถาวร และป่าเขตร้อน หากข้ามผ่านไปแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เสริมกำลังตัวเอง เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอีก จนอาจผลักดันให้โลกเข้าสู่ “ภาวะเรือนกระจก” (Hot House)
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเร็วกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในรอบ 2,000 ปีที่ผ่านมา หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในปี 2100 โลกอาจร้อนขึ้นจากยุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 3.1 องศาเซลเซียส ตามข้อมูลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
“วิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นกำลังคุกคามระบบปฏิบัติการที่สำคัญของโลก ตั้งแต่กระแสน้ำในมหาสมุทรไปจนถึงแหล่งน้ำทั่วโลก แต่รายงานของเรายังแสดงให้เห็นว่าการดำเนินการอย่างเด็ดขาดยังคงสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับระบบโลกได้” ร็อกสตรอมกล่าว
วิลเลียม ริปเปิล ผู้เขียนหลักจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตท เน้นย้ำว่า จำเป็นต้องดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพให้รวดเร็วที่สุด “มีกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่พร้อมใช้งาน คุ้มค่า และจำเป็นอย่างเร่งด่วน ทุก ๆ เศษเสี้ยวของระดับอุณหภูมิที่หลีกเลี่ยงได้ ล้วนมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และระบบนิเวศ”
ภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ เศษเสี้ยวขององศาจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างไม่สมส่วน และผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องเผชิญกับความเครียดจากความร้อนที่ไม่อาจทนได้
ปี 2024 ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศทั่วโลกทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงอุทกภัยฉับพลันครั้งใหญ่ในรัฐเท็กซัสตอนกลางในเดือนกรกฎาคม 2025 คลื่นความร้อนในอินเดียและปากีสถานในเดือนเมษายน 2025 และพายุไซโคลนชิโด สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนธันวาคม 2024
รายงานสนับสนุนให้มีการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างรวดเร็ว เพิ่มการลงทุนขนาดใหญ่ในพลังงานหมุนเวียน พร้อมอนุรักษ์แหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้และพื้นที่ชุ่มน้ำ โดยจำเป็นต้องขยายขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ถึง 70% ของพลังงานไฟฟ้าทั่วโลกภายในปี 2050 หากไม่ถึงเป้าอาจจะทำให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้น สภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และผลกระทบที่ไม่อาจย้อนกลับได้
ที่มา: Down To Earth, Earth, Space







