‘ยูเอ็น’ ชี้ทั่วโลกล้มเหลวลดโลกร้อน คาดอุณหภูมิทะลุ 2.8°C สูงกว่าความตกลงปารีส

‘ยูเอ็น’ ชี้ทั่วโลกล้มเหลวลดโลกร้อน คาดอุณหภูมิทะลุ 2.8°C สูงกว่าความตกลงปารีส

รายงานประจำปีของสหประชาชาติพบว่า โดยรวมแล้ว ประเทศต่าง ๆ ยังคงห่างไกลจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการจำกัดภาวะโลกร้อน

KEY

POINTS

  • สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยรายงานว่าความพยายามลดโลกร้อนทั่วโลกมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยและกำลังล้มเหลว
  • คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.8 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ หากยังคงดำเนินนโยบายปัจจุบัน
  • ระดับอุณหภูมิที่คาดการณ์ไว้สูงกว่าเป้าหมายของความตกลงปารีสอย่างมีนัยสำคัญ ที่ต้องการควบคุมให้อยู่ในระดับ 1.5-2 องศาเซลเซียส

สหประชาชาติเผยแพร่รายงาน Emissions Gap Report 2025 ระบุว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ด้วยการเข้มงวดนโยบายเพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ

แต่ก็จะมีหลายนโยบายการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจถูกยกเลิกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยกเลิกการควบคุมมลพิษและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ ของสหรัฐ

รายงานนี้ตรวจสอบคำมั่นสัญญาที่ผู้นำของโลกได้ให้ไว้ในการช่วยลดอุณหภูมิของโลก และสิ่งที่พวกเขากำลังดำเนินการอยู่จริง เพื่อควบคุมปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่น ๆ ที่ทำให้โลกร้อนขึ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและการตัดไม้ทำลายป่า และพบว่าช่องว่างนี้มีขนาดใหญ่มาก คาดว่าภายในศตวรรษนี้อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นประมาณ 2.8 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม

หากประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ทั้งหมดสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะใกล้ อุณหภูมิโลกอาจจำกัดอยู่ที่ 2.3 องศาเซลเซียส แต่อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะหลายประเทศอาจไม่สามารถบรรลุคำมั่นสัญญาเหล่านั้น

ระดับอุณหภูมิที่ประเมินไว้นี้ สูงกว่าระดับที่แต่ละประเทศตกลงกันภายใต้ความตกลงปารีสว่าด้วยสภาพภูมิอากาศปี 2015 โดยผู้นำได้ให้คำมั่นว่าจะควบคุมภาวะโลกร้อนให้ “ต่ำกว่า” 2 องศาเซลเซียส และควรอยู่ที่ประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟป่า ภัยแล้ง และภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า แม้อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียงครึ่งองศาก็อาจหมายถึงผู้คนหลายสิบล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนอันตราย ปัญหาการขาดแคลนน้ำ และน้ำท่วมชายฝั่ง (โลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 1.3 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม)

“ทุกเศษเสี้ยวขององศามีความสำคัญในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิต ความสูญเสียและความเสียหาย ความเสี่ยงของจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจย้อนกลับได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องลดอุณหภูมิให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้” แอนน์ โอลฮอฟฟ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศประจำเดนมาร์กและหัวหน้าคณะผู้จัดทำรายงานการประเมิน ซึ่งจัดทำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กล่าว

รายงานในปี 2025 คาดไว้ว่าโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 2.8 องศาเซลเซียส ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์ในปี 2024 ที่ประเมินไว้ที่ 3.1 องศาเซลเซียส ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการ และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์และรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้การคาดการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตลดลงเล็กน้อยในบางพื้นที่ เช่น จีนและยุโรป

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศว่าพวกเขาจะถอนตัวจากความตกลงปารีส และปฏิเสธคำมั่นสัญญาทั้งหมดที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐ พร้อมทั้งยกเลิกการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลกลาง

ผู้เขียนคำนวณว่า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ของสหรัฐอาจทำให้การคาดการณ์ภาวะโลกร้อนในอนาคตเพิ่มขึ้นถึง 0.1 องศาเซลเซียส เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่าประเทศอื่น ๆ นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ปฏิเสธรายงานนี้ โดยระบุว่า “สหรัฐไม่สนับสนุนรายงานนี้ นโยบายของสหรัฐอคือข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศจะต้องไม่สร้างภาระให้กับสหรัฐมากเกินไป”

จนถึงขณะนี้ มีสัญญาณเพียงเล็กน้อยที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลประเทศอื่น ๆ กำลังเร่งรัดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของตนเองอย่างจริงจังเพื่อชดเชยการถอนตัวของสหรัฐ

ภายใต้ความตกลงปารีสปี 2015 ทุกประเทศตกลงที่จะยื่นแผนลดการปล่อยมลพิษโดยสมัครใจ จากนั้นผู้นำก็สัญญาว่าจะทบทวนและเสริมสร้างคำมั่นสัญญาดังกล่าวทุก 5 ปีตามความจำเป็น โดยแผนล่าสุดมีกำหนดส่งภายในเดือนกันยายน 2025 ก่อนการประชุม COP 30 ที่ประเทศบราซิล

ทั้งนี้ กลับมีเพียง 64 ประเทศเท่านั้นที่ยื่นแผนสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ซึ่งควรจะระบุถึงวิธีที่รัฐบาลจะควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนถึงปี 2035 แม้ว่าจะมีประเทศที่เหลือจะสามารถยื่นแผนได้อีก แต่การส่งแผนส่วนใหญ่ที่มีในขณะนี้ ก็ยังไม่มีมาตรการใดที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“ประเทศต่าง ๆ พยายามทำตามสัญญาที่ให้ไว้ภายใต้ข้อตกลงปารีสมาแล้ว 3 ครั้ง และทุกครั้งก็ล้มเหลว” อิงเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการบริหารโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติกล่าว

“จีน” ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน ได้แถลงเป็นครั้งแรกว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่น ๆ ลงอย่างน้อย 7% ภายในปี 2035 แต่จีนไม่ได้ระบุว่าปริมาณการปล่อยก๊าซจะเพิ่มขึ้นเท่าใดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก่อนที่จะเริ่มลดการปล่อยก๊าซ และนักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าจีนได้ตั้งเป้าหมายที่บรรลุผลได้ง่าย

ส่วนประเทศอื่น ๆ เช่น รัสเซียและตุรกี ได้ยื่นคำมั่นสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะมีความทะเยอทะยานน้อยกว่าในการควบคุมการปล่อยก๊าซ เมื่อเทียบกับสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วภายใต้นโยบายพลังงานในปัจจุบัน

หนึ่งในคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่หนักแน่นที่สุดเกิดขึ้นโดยรัฐบาลไบเดนเมื่อเดือนธันวาคมปี 2024 ซึ่งสัญญาว่าสหรัฐจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 61% จากระดับปี 2005 ภายในปี 2035 แต่ในความเป็นจริงประเทศสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเพียง 17% และรัฐบาลทรัมป์ก็ละทิ้งเป้าหมายนี้ไปเรียบร้อย

รายงานฉบับนี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ว่า ถึงอย่างไรโลกก็ยังจะมีอุณหภูมิสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแน่นอน เพราะถ้าหากจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเกือบครึ่งหนึ่งระหว่างปี 2019-2030 ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจพลังงานโลกอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง อีกทั้งปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกยังคงสูงกว่าปี 2019

นอกจากนี้ รายงานยังระบุอีกว่า เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่พอจะเป็นไปได้ในขณะนี้ คือการ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียสเป็นเวลาหลายทศวรรษ ก่อนที่จะทำให้อุณหภูมิโลกลดลงสู่ระดับดังกล่าว โดยต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งระหว่างนี้จนถึงปี 2035 แล้วจึงหาวิธีดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลออกจากชั้นบรรยากาศ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิลง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ล้วนเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง

แต่ปัญหาหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์กังวลคือ หากปล่อยให้อุณหภูมิสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่ทศวรรษก็มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ อาจรวมถึงภาวะไร้เสถียรภาพของแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตก ซึ่งอาจผลักดันให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างอันตรายสำหรับชุมชนชายฝั่งทั่วโลก

ดร.โอลฮอฟฟ์ กล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่นักวิจัยหลายคนกำลังเริ่มพิจารณา จะเกิดอะไรขึ้นหากมีการดำเนินการที่ทะเยอทะยานอย่างแท้จริงในปีนี้แทน นั่นหมายความว่าอย่างไรในแง่ของการที่อุณหภูมิสูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียสชั่วคราว และเป็นไปได้หรือไม่ที่จะกลับไปอยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสอีกครั้งหลังจากอุณหภูมิเกินช่วงหนึ่ง แน่นอนว่ามีความเสี่ยงมากกว่า และยังเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย” 

ทั้งนี้ คณะผู้เขียนรายงานเน้นย้ำถึงข้อดีและโอกาสของมาตรการปกป้องสภาพภูมิอากาศที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน จะช่วยให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงานใหม่ และความมั่นคงทางพลังงาน เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่จำเป็นมีอยู่จริง และการเติบโตของพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเกินความคาดหมายและลดต้นทุนพลังงานอย่างต่อเนื่อง

การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จำเป็นนั้นต้องอาศัยการเอาชนะอุปสรรคทางการเมืองและทางเทคนิค รวมถึงการเพิ่มการสนับสนุนอย่างไม่เคยมีมาก่อนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา


ที่มา: AljazeeraDWEuro NewsThe New York Times