KBank ชูเค้กแต่งงาน SDGs + น่านแซนด์บ็อกซ์ แก้วิกฤติประเทศไทยจนลงเรื่อยๆ

KBank ชูเค้กแต่งงาน SDGs + น่านแซนด์บ็อกซ์ แก้วิกฤติประเทศไทยจนลงเรื่อยๆ

กสิกรไทยเสนอแนวคิด "เค้กแต่งงาน SDGs" และโครงการ "น่านแซนด์บ็อกซ์" เป็นแนวทางแก้วิกฤตเศรษฐกิจไทยที่จนลงเรื่อยๆ จากปัญหาสังคมสูงวัยและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูง

KEY

POINTS

  • กสิกรไทยเสนอแนวคิด "เค้กแต่งงาน SDGs" และโครงการ "น่านแซนด์บ็อกซ์" เป็นแนวทางแก้วิกฤตเศรษฐกิจไทยที่จนลงเรื่อยๆ จากปัญหาสังคมสูงวัยและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูง
  • การดำเนินงานครอบคลุม 3 มิติ คือ เศรษฐกิจ (สร้างโรงงานสกัดสารมูลค่าสูง) สิ่งแวดล้อม (ฟื้นฟูป่า) และสังคม (ยกระดับโรงพยาบาลและการศึกษาในพื้นที่)
  • เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างชัยชนะ 3 ด้าน (Triple Wins) ได้แก่ ลดภาระการคลัง เพิ่มขีดความสามารถด้วยเทคโนโลยี และสร้างอุตสาหกรรมสุขภาพใหม่ เพื่อขยายผลเป็นนโยบายระดับชาติ

ในงาน TechInno Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “The Care Economy: Connecting Innovation and Humanity” หรือ “เศรษฐกิจใส่ใจ เชื่อมโยงนวัตกรรมกับความเป็นมนุษย์” จัดโดยมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)

“พิพิธ เอนกนิธิ” ประธานกิจการยั่งยืน ธนาคารกสิกรไทย ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "Beyond the Care Economy: One Health as a Socio-economic Imperative" นำเสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านโครงการนำร่องในจังหวัดน่าน มุ่งสร้างชัยชนะ 3 ด้าน พร้อมขยายผลเป็นนโยบายระดับชาติ

โดยเริ่มจากเผยการวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจโลกและปัญหาโครงสร้างของประเทศไทย โดยชี้ว่าวิกฤติหลังโควิดยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกประมาณ 30% ของ GDP ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการเป็นสังคมสูงวัยที่จะกลายเป็น Super Age Society ในปี 2029 ทำให้จำนวนคนทำงานลดลงและภาระทางการคลังเพิ่มสูงขึ้น

เค้กแต่งงาน SDGs

“พิพิธ” อ้างอิงแนวคิด "เค้กแต่งงาน SDGs" (SDGs Wedding Cake) ที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นฐานรากที่มีมูลค่าสูง และหากเสียหายแล้วจะมีต้นทุนสูงมากในการฟื้นฟู ตามด้วยชั้นสังคม และสุดท้ายคือระบบเศรษฐกิจที่เป็นส่วนเล็กที่สุด

ในปัจจุบันประเทศไทยเติบโตไม่ถึง 2% ต่อปี แต่ต้องรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่คิดเป็น 5% ของ GDP และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ที่สร้างความเสียหายถึง 10% ของ GDP

"ทั้งประเทศไทย เฉลี่ยเราจะจนลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่สร้างมูลค่าหรือไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีข้อจำกัดในการกู้ยืมเนื่องจากความเสี่ยงถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ”

“การแก้ปัญหานี้ไม่ควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องยกระดับเป็น นโยบายระดับชาติ (National Policy) เป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจต่อหัวประชากร เพื่อให้ประเทศเติบโตเกิน 2% รองรับภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมสร้างต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนและสามารถขยายผลสู่พื้นที่อื่นได้”

โมเดล "น่านแซนด์บ็อกซ์"

“พิพิธ” อธิบายว่า เลือกจังหวัดน่านเป็นพื้นที่นำร่องตามหลักการ "80/20 Rule" เนื่องจากน่านเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญ โดย 40-45% ของน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยามาจากน่าน

"การจัดลำดับความสำคัญของ well-being ของคนในพื้นที่น่าน ควรได้รับการดูแลเป็น first priority คนถึงจะสามารถรักษาป่าได้ ป่าถึงสามารถรักษาน้ำได้"

โครงการที่น่านดำเนินการใน 3 มิติหลัก

1. มิติเศรษฐกิจ: เปลี่ยนจากการปลูกพืชราคาถูกที่ทำลายสิ่งแวดล้อมไปสู่พืชสมุนไพรมูลค่าสูง พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการสกัดเป็นสารสำคัญทางยา เช่น Curcuminoid Extract ซึ่งสามารถเพิ่มราคาจากกิโลกรัมละ 2 บาท เป็น 200,000 บาทต่อกิโลกรัม มีการลงทุนสร้างโรงงานสกัดคุณภาพระดับสากลเพื่อสร้างงานและพัฒนาทักษะในพื้นที่

2. มิติสิ่งแวดล้อม: มุ่งเป้าฟื้นฟูป่าต้นน้ำและปกป้องป่าที่เหลืออยู่ 72% โดยจัดสรรพื้นที่ 18% ที่เคยถูกทำลายให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจควบคู่การอนุรักษ์ ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจโลกของไทย เพื่อติดตามผลการฟื้นฟู

3. มิติสังคมและสุขภาพ: ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพของโรงพยาบาลน่าน (700 เตียง) ให้มีมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย พร้อมสร้างศูนย์เรียนรู้นันทสิปาคารและจัดการศึกษาเสริมหลักสูตรเพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่สำหรับอนาคต

"Triple Wins” สร้างเศรษฐกิจใหม่

“พิพิธ” เน้นว่า ไทยต้องมุ่งสร้างชัยชนะ 3 ด้าน ได้แก่

  • Fiscal Win - ลดภาระทางการคลังและเพิ่มรายได้ให้ประเทศ
  • Capability Win - ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึง AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • Next Curve Win - ต่อยอดจุดแข็งด้านระบบ Health Care ที่ไทยเป็นหนึ่งประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย" และจุดแข็งด้าน Hospitality เพื่อสร้างอุตสาหกรรมสุขภาพรูปแบบใหม่ที่สามารถส่งออกได้

โมเดล SDGs Wedding Cake และ น่านแซนด์บ็อกซ์ แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยมองปัญหาแบบองค์รวมและใช้นวัตกรรมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด "Care Economy" ที่ว่า "คน" คือหัวใจของเศรษฐกิจและสังคม

 

 

ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ