ญี่ปุ่นเร่งเครื่องสู่ 'เศรษฐกิจที่ฟื้นฟูธรรมชาติ' รับมือวิกฤติสูญเสียระบบนิเวศ

ญี่ปุ่นเร่งเครื่องสู่ 'เศรษฐกิจที่ฟื้นฟูธรรมชาติ' รับมือวิกฤติสูญเสียระบบนิเวศ

รายงานเตือนความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอาจทำเศรษฐกิจโลกเสียหายมหาศาล ขณะที่นานาชาติรวมถึงไทยและญี่ปุ่นเร่งผลักดันเป้าหมาย "30x30" เพื่อปกป้องพื้นที่อนุรักษ์

KEY

POINTS

  • ญี่ปุ่นเปิดตัว "แผนงาน 30x30" และ "กลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ฟื้นฟูธรรมชาติ" เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมองว่า "ทุนทางธรรมชาติ" เป็นรากฐานของการเติบโตที่ยั่งยืน
  • ภาคธุรกิจญี่ปุ่นมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน โดยมีบริษัทที่ประกาศเจตนารมณ์เปิดเผยข้อมูลด้านธรรมชาติ (TNFD) มากที่สุดในโลกถึง 182 แห่ง
  • มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมจากบริษัทชั้นนำ เช่น Oji Holdings ที่มุ่งจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และ NTT DOCOMO ที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมติดตามความหลากหลายทางชีวภาพ

ท่ามกลางความกังวลต่อความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจโลก ข้อมูลล่าสุดจากรายงานขององค์กรไม่แสวงผลกำไร Ceres (ซีเรส) เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 ได้ย้ำเตือนว่าความเสียหายทางระบบนิเวศอาจส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจโลกสูงถึง 4.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือ 2.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลาห้าปี ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของธนาคารโลกเมื่อปี  2564 ที่ระบุว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ทั่วโลกอาจลดลงถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี  2573 

ความเสียหายดังกล่าวครอบคลุม 8 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ การผลิตอาหาร การค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ป่าไม้ และการทำเหมืองแร่ สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการอย่างประสานงานข้ามพรมแดนและภาคส่วนต่างๆ

การขับเคลื่อนเป้าหมาย "30x30" ทั่วโลก

จากการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (COP15) ณ สหประชาชาติ ในปี  2565  นานาประเทศได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในเป้าหมายระดับโลก "30x30" เพื่ออนุรักษ์พื้นที่บนบกและมหาสมุทรของโลกอย่างน้อย ร้อยละ 30 ภายในปี  2573

ในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน: โคลอมเบีย คอสตาริกา เอกวาดอร์ และปานามา ได้จัดตั้ง "ระเบียงทะเลแปซิฟิกตะวันออกเขตร้อน (Eastern Tropical Pacific Marine Corridor)" ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการคุ้มครองและการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลอย่างยั่งยืน

สำหรับประเทศไทยมีความพยายามขับเคลื่อนโดยพลเมืองภายใต้ชื่อ "ภาคีเครือข่าย 30x30 ประเทศไทย (30x30 Thailand Coalition)" ที่ได้พัฒนาแนวปฏิบัติระดับชาติเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ในระดับสาธารณะ ภาคเอกชน และชุมชน

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้เข้าร่วมกลุ่ม High Ambition Coalition (HAC) for Nature and People และมีการผลักดันการจัดตั้ง "มาตรการอนุรักษ์เชิงพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพรูปแบบอื่น (OECMs)" เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 30x30 โดยมีการระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น ป่าชุมชน และพื้นที่ของภาคเอกชนที่เอื้อต่อการอนุรักษ์ 

กลยุทธ์ "ฟื้นฟูธรรมชาติ" ของญี่ปุ่น

กระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นได้เปิดตัว "แผนงาน 30x30 (30 by 30 Roadmap)" ในปี พ.ศ. 2565 โดยมีเป้าหมายขยายและปรับปรุงการบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครอง อาทิ อุทยานแห่งชาติ รวมถึงการกำหนดและบริหารจัดการพื้นที่ OECMs

เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่น ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567  ญี่ปุ่นได้นำเสนอ "กลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ฟื้นฟูธรรมชาติ (Transition Strategies toward Nature Positive Economy)" ที่ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมองว่า "ทุนทางธรรมชาติ" ไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็นรากฐานของการเติบโตที่ยั่งยืน

ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568  กระทรวงฯ ได้เผยแพร่แผนงานฉบับปรับปรุงเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจที่ฟื้นฟูธรรมชาติภายในปี พ.ศ. 2573 โดยมุ่งเน้น 3 เสาหลัก

ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่ใช้ประโยชน์จากทุนทางธรรมชาติในท้องถิ่น

ขยายแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ

เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลกผ่านความร่วมมือของหลายภาคส่วนนอกจากนี้ ในเดือน ส.ค. 2568 ญี่ปุ่นยังได้เปิดตัว "พอร์ทัลฟื้นฟูธรรมชาติ (Nature-Positive Portal)" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเผยแพร่ข้อมูลนโยบายล่าสุดและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างภาครัฐและเอกชน

ภาคธุรกิจญี่ปุ่นผู้นำด้านการเปิดเผยข้อมูล

การมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจถือเป็นหัวใจสำคัญ ภายหลังการเผยแพร่กรอบการทำงานของ คณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ (Taskforce on Nature-related Financial Disclosures - TNFD) ในปี 2566 จำนวนบริษัทญี่ปุ่นที่ประกาศความมุ่งมั่นในการเปิดเผยข้อมูลด้านธรรมชาติก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 มีบริษัทญี่ปุ่นที่ประกาศเจตนารมณ์แล้วถึง 182 แห่ง ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดทั่วโลก

ตัวอย่างของบริษัทชั้นนำ ได้แก่ Oji Holdings ผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ ซึ่งได้ประกาศ "พันธกิจการปลอดจากการทำลายป่าและการเปลี่ยนสภาพ (Zero Deforestation and Conversion Commitment)" ในปี 2567 และ "พันธกิจความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Commitment)" ในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การจัดหาไม้ที่รับผิดชอบ และการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า

ขณะเดียวกัน NTT DOCOMO BUSINESS ร่วมกับบริษัทข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ Biome Inc. ได้เริ่มโครงการพัฒนานวัตกรรม โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอย่าง "BiomeDB" เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการติดตามพืชพรรณและสัตว์ป่าในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง

การดำเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในญี่ปุ่นนี้ แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ประเทศหนึ่งสามารถขับเคลื่อนทั้งการดูแลสิ่งแวดล้อมและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูทุนทางธรรมชาติ ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องรากฐานความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมในอนาคต

ที่มา : World Economic Forum