Decarbonizationคือโจทย์ชี้ชะตาธุรกิจ แนะผู้ลงทุนส่อง‘เทคโนโลยี-งบลงทุน’ วัดมูลค่ากิจการ

Decarbonizationคือโจทย์ชี้ชะตาธุรกิจ   แนะผู้ลงทุนส่อง‘เทคโนโลยี-งบลงทุน’ วัดมูลค่ากิจการ

ปัจจุบัน ธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูงและไม่มีทิศทางการจัดการที่น่าเชื่อถือกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) ที่กระทบผลประกอบการโดยตรง เช่น

ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ (Regulatory Risk) : มาตรการทางการค้าที่เชื่อมโยงกับคาร์บอน เช่น EU CBAM ที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น มาตรการเหล่านี้จะกลายเป็นต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นโดยตรง สำหรับผู้ส่งออกที่ไม่ปรับตัว 

ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Risk) : บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต่างกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่เข้มข้น และส่งต่อแรงกดดันนี้มายังคู่ค้าทั่วโลก หากธุรกิจไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการลดคาร์บอนอาจสูญเสียโอกาสทางการค้าหรือถูกตัดออกจากห่วงโซ่อุปทานสำคัญได้ 

ความเสี่ยงด้านการเข้าถึงแหล่งทุน (Financial Risk) : สถาบันการเงินและผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกต่างบูรณาการปัจจัย ESG เข้ากับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อและการลงทุนอย่างเข้มข้น ธุรกิจที่ไม่มีแผนลดคาร์บอนที่น่าเชื่อถือ อาจเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น หรือข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจที่มองเห็นโอกาสและเริ่มจัดสรรงบลงทุน (CAPEX) เพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างจริงจัง ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความได้เปรียบในการแข่งขันที่ชัดเจน

ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก: ตัวแปรใหม่ในการประเมินมูลค่ากิจการ

ในอดีต ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจถูกมองว่าเป็นข้อมูลนอกงบการเงิน แต่ปัจจุบัน ข้อมูลนี้รวมถึงแผนการลงทุนเพื่อลดคาร์บอนได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและการประเมินมูลค่ากิจการ (Valuation)

ผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์ชั้นนำ ไม่ได้พิจารณาเพียงอัตราส่วนทางการเงินแบบเดิมๆ แต่ยังประเมินลึกลงไปในประเด็นสำคัญ เช่น

แผนการลดคาร์บอน (Decarbonization Roadmap) : บริษัทมีเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจน วัดผลได้ และสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือไม่? แผนดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือและนำไปปฏิบัติได้จริงเพียงใด?

การจัดสรรงบลงทุน (CAPEX Allocation) : บริษัทมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่? เพียงพอและสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายหรือไม่? 

ความพร้อมของเทคโนโลยี (Technology Readiness) : เทคโนโลยีที่บริษัทเลือกใช้หรือลงทุนมีความพร้อมในเชิงพาณิชย์ และเหมาะสมกับบริบททางธุรกิจหรือไม่? มีความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่?

คำถามเหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองใหม่ในการประเมินศักยภาพและความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการจัดสรรเงินทุน ทั้งในตลาดทุนไทยและตลาดทุนโลกนับจากนี้

เส้นทางการเปลี่ยนผ่านที่แตกต่างในแต่ละอุตสาหกรรม

แน่นอนว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่มีสูตรสำเร็จเดียวที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรมต่างเผชิญโจทย์ที่แตกต่างกันและต้องการเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง CCUS หรือพลังงานไฮโดรเจนควบคู่ไปกับการขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างต้องเร่งนำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำมาปรับใช้ ส่วนกลุ่มเกษตรและอาหารต้องมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตและพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและการลงทุนที่สอดคล้องกับแผนงานจึงเป็นหัวใจสำคัญ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตระหนักถึงบทบาทในการส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยมุ่งให้ข้อมูลและเครื่องมือแก่บริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุนเพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรและเงินทุนไปสู่ธุรกิจที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างรับผิดชอบ

แม้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะมีความท้าทาย แต่ก็คือโอกาสครั้งสำคัญของภาคธุรกิจและตลาดทุนไทยในการยกระดับขีดความสามารถ สร้างนวัตกรรม และขับเคลื่อนการเติบโตระลอกใหม่ (New S-Curve) บนเวทีโลกอย่างยั่งยืน คำถามสำคัญที่ทุกองค์กรต้องตอบในวันนี้คือ คุณพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้แล้วหรือยัง ก่อนที่โอกาสจะกลายเป็นความเสี่ยงที่สายเกินแก้

-------------------------------------------

สำหรับข้อมูลแนวทางการวิเคราะห์การลงทุน และการประเมินความพร้อมด้านเทคโนโลยีลดคาร์บอนใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: https://s.setth.org/12u