บุกสอบนายทุนรุกป่าแก่งกระจาน 'สุชาติ' สั่งเอาป่าคืน พิสูจน์เอกสารย้อนหลัง

ชุดเฉพาะกิจกระทรวงทรัพยากรฯ เข้าตรวจสอบกลุ่มนายทุนบุกรุกป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและที่ราชพัสดุ พบการทำลายภูเขาทั้งลูกและขยายพื้นที่รุกล้ำเพิ่มเติม
KEY
POINTS
- ชุดเฉพาะกิจกระทรวงทรัพยากรฯ เข้าตรวจสอบกลุ่มนายทุนบุกรุกป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและที่ราชพัสดุ พบการทำลายภูเขาทั้งลูกและขยายพื้นที่รุกล้ำเพิ่มเติม
- นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.ทส. สั่งการให้ปราบปรามอย่างเด็ดขาดเพื่อทวงคืนผืนป่ากลับมาเป็นของรัฐ และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวอิทธิพล
- การสอบสวนมุ่งเน้นการพิสูจน์ที่มาของเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ที่กลุ่มนายทุนถือครอง โดยจะตรวจสอบย้อนหลังถึงต้นตอการออกเอกสารและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ชุดเฉพาะกิจกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉก.ทส.) ลงพื้นที่ตรวจสอบการบุกรุกป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและที่ราชพัสดุ โดยมีคำสั่งเข้มจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ให้เร่งสืบสวนปราบปรามกลุ่มนายทุนผู้บุกรุกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเด็ดขาด
การตรวจสอบนำโดย พล.ต.ต. นันทชาติ ศุภมงคล ที่ปรึกษา รมว.ทส. หัวหน้าชุดฉก.ทส. ร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมสอบสวนคดีพิเศษ และศูนย์กลางทหารราบค่ายธนะรัชต์ พบการบุกรุกพื้นที่ป่าในท้องที่หมู่ 1 ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นวงกว้าง
เดิมเป็นภูเขาอุดมสมบูรณ์และเป็นพื้นที่ดูแลของทหาร พบว่ามีกลุ่มนายทุนเข้าบุกรุก โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เคยเข้าตรวจพบเมื่อเดือนเมษายน 2567 และสั่งห้ามดำเนินการใด ๆ เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิมายืนยัน กระทั่งมีการตรวจสอบล่าสุด พบว่ามีการลักลอบขุดดินไปใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง จนภูเขาทั้งลูกเหลือสภาพเป็น ดินลูกรัง และยังพบการขุดบ่อปิดทางน้ำสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามข้อมูลจากกรมที่ดิน กลุ่มนายทุนถือครองเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ในที่ราชพัสดุกว่า 2,016 ไร่ และในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 1,146 ไร่ รวมเป็น 3,162 ไร่ แต่การตรวจสอบภาคสนามของ ฉก.ทส. ยังพบการเปิดพื้นที่ป่าใหม่เพิ่มเติมอีก กว่า 914 ไร่ แบ่งเป็นในพื้นที่อุทยานฯ จำนวน 81 ไร่ และที่ราชพัสดุ 833 ไร่ ตัวเลขที่สร้างความกังวลว่ามีการขยายพื้นที่รุกล้ำออกนอกขอบเขตเอกสารสิทธิเดิม
พล.ต.ต.นันทชาติ กล่าวว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการ พิสูจน์ที่มาของเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่า ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยเดิมของประชาชน ซึ่งตามหลักแล้วไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้โดยง่าย จึงต้องย้อนตรวจสอบต้นตอการออกเอกสาร ตลอดจนผู้มีอำนาจในการเซ็นอนุญาตทุกคน โดยได้สั่งให้กรมอุทยานฯ แปรภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเก็บหลักฐานเชิงประจักษ์เข้าสู่กระบวนการสอบสวนและกระบวนยุติธรรมแล้ว
การดำเนินการในชั้นปฏิบัติการรวมถึงการแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจ การยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. และการให้ DSI ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและพิจารณานำเรื่องเข้าเป็นคดีพิเศษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเชิงภาพและเชิงเอกสาร
“ผมพูดได้เลยว่า ไม่ต้องกลัวอิทธิพล หากข้าราชการกลัว อำนาจที่มีจะไร้ความหมาย ประชาชนจะหาที่พึ่งได้อย่างไร”
พล.ต.ต.นันทชาติบอกด้วยว่า รู้สึกไม่สบายใจที่ป่าถูกทำลาย ป่าเป็นของประชาชนคนไทยทุกคน แต่มีบางคนเอามาทำแบบนี้ ป่า ต้นไม้ ไม่ได้ปลูกและขึ้นมาให้เวลาอันรวดเร็ว รัฐมนตรีฯ สุชาติ สั่งให้ผมมา และบอกว่า ถ้าผิด ต้องเอาป่า เอาต้นไม้คืน"
นอกจากนี้ พล.ต.ต.นันทชาติยังเตือนถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะช้างป่าซึ่งมีประมาณ กว่า 300 ตัว อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน การทำลายที่อยู่อาศัยจะบีบให้สัตว์ป่าเคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ชุมชน เสี่ยงต่อการถูกทำร้ายหรือถูกล่าขายงา จึงมีความจำเป็นต้องฟื้นฟูพื้นที่และยึดคืนเป็นพื้นที่อนุรักษ์เพื่อให้ช้างป่ายังคงมีที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย
การตรวจสอบครั้งนี้จึงเป็นทั้งการสืบสวนคดีความและสัญญาณเชิงนโยบายว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้การแปรรูปที่ดินป่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุนทิ้งไว้โดยไม่มีการตอบโต้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินหน้าทบทวนเอกสารสิทธิย้อนหลัง ตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด หากพบการกระทำผิดตามพยานหลักฐาน







