ก้าวข้ามยุคพลังงานฟอสซิล ‘เทคโนโลยี’ ชี้ขาดความสำเร็จ Net Zero

ก้าวข้ามยุคพลังงานฟอสซิล ‘เทคโนโลยี’ ชี้ขาดความสำเร็จ Net Zero

"ปตท." ก้าวข้ามยุคของพลังงานฟอสซิล "คงกระพัน" ECO ลุยใช้ "เทคโนโลยี" ขับเคลื่อนธุรกิจ ชี้ขาดความสำเร็จสู่เป้า Net Zero

KEY

POINTS

  • การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่ระบบคาร์บอนต่ำต้องอาศัยเทคโนโลยีสำคัญ ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน, การกักเก็บพลังงาน, พลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีดักจับและจัดเก็บคาร์บอน (CCS)
  • ดร.คงกระพัน CEO ปตท. ชี้ว่าความท้าทายระยะยาวในการมุ่งสู่ Net Zero คือการต้องพึ่งพาเทคโนโลยีลดคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนที่เหมาะสม
  • เทคโนโลยี CCS และ "ไฮโดรเจน" จะเป็นกลไกหลักในการลดคาร์บอนภาคอุตสาหกรรม โดยบทบาท

โลกกำลังเคลื่อนจากระบบพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่ระบบ “ไฟฟ้า-เชิงคาร์บอนต่ำ” จากแรงขับเคลื่อนของพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน,การเติบโตของพลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีดักจับและจัดเก็บคาร์บอน หรือ CCS รวมถึงแรงกดดันจากภาคการเงินและนโยบายรัฐทั่วโลกที่ผลักดันให้ทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าสู่เป้าหมาย “Net Zero”

สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดทั้ง “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” โดยโอกาสจากตลาดใหม่และเทคโนโลยี ส่วนความเสี่ยงมาจากความผันผวนของราคา ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมพลังงานที่รวดเร็วเกินคาด

แม้หลายประเทศทั่วโลกเร่งเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล แต่การขยายตัวเติบโตยังต่ำกว่าอัตราที่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส

อีกหนึ่งแกนสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือ เทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียว และเทคโนโลยี CCS ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมหนัก และรักษาโครงสร้างรายได้ของผู้ผลิตเชื้อเพลิงเดิม

ขณะเดียวกันเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนทั่วโลกไหลสู่ “Clean Tech” มากขึ้น แต่ความต้องการวัตถุดิบ เช่น แร่ลิเทียม นิกเกิล โคบอลต์ สำหรับแบตเตอรี่ หรือแผงโซลาร์เซลล์ยังกระจุกบางภูมิภาค ส่งผลให้เกิดการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานรูปแบบใหม่

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ใหม่ภายในปี 2050 การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องอาศัยทั้งนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนและการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทพลังงานรายใหญ่อย่าง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในฐานะ “พลังงานชาติ” ที่มีบทบาทขับเคลื่อนทั้งความมั่นคงและความยั่งยืนพลังงาน

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางพลังงานโลกในปัจจุบันมี 2 ระยะ คือ

ระยะสั้น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัล 

ระยะยาว ความท้าทายในการลดคาร์บอน และการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีลดคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนเหมาะสม ปตท.จึงยึด 3 แนวทาง คือ ความมั่นคงพลังงาน ความยั่งยืน และราคาที่เหมาะสม เป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ

ข้อมูลการใช้พลังงานโลกปี 2566-2593 สะท้อนว่าแม้พลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่ทดแทนพลังงานฟอสซิลได้หมด ปริมาณการใช้ “ก๊าซธรรมชาติ” จึงยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนถ่านหินและน้ำมันจะลดลง 

ในมุมมองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทย “ก๊าซธรรมชาติ” ยังเป็นเชื้อเพลิงสะอาดกว่าฟอสซิลอื่น และสำคัญต่อความมั่นคงพลังงาน เพราะหลายประเทศผลิตเองได้ เช่น ไทย เมียนมา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

แนวทางการลดคาร์บอนของไทยต้องอาศัยหลายมาตรการ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การใช้พลังงานสะอาด การปลูกป่า และการใช้เทคโนโลยี CCS ซึ่งทั่วโลกกำลังขยายตัวเร็ว ปัจจุบันมีโครงการมากกว่า 100 โครงการในสหรัฐ และคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะมากกว่า 500 โครงการ

นอกจากนี้ “ไฮโดรเจน” จะมีบทบาทมากขึ้นเมื่อเทคโนโลยีผลิตและมีราคาถูกลง ใช้เป็นเชื้อเพลิงสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม หรือผสมในก๊าซธรรมชาติสำหรับผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าได้

กระทรวงพลังงานกำหนดทิศทางชัดเจนในการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ความท้าทายยังอยู่ที่ความเสถียรของระบบและต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น แต่การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น “ก้าวที่จำเป็น” เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานสะอาดระยะยาว

ส่วนอีกด้าน ก๊าซธรรมชาติจึงมีบทบาทสำคัญต่อระบบพลังงานไทย โดยปัจจุบันไทยผลิตก๊าซได้ 50% จากอ่าวไทย นำเข้าจากเมียนมา 15% และนำเข้า LNG 30%

“ต้องให้ความสำคัญกับก๊าซเพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ไทยผลิตเองได้ส่วนใหญ่ ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะในอนาคตการลดคาร์บอนจะกลายเป็นเงื่อนไขทางการค้าโลก”

กลุ่ม ปตท.ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้ง สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P), ก๊าซธรรมชาติครบวงจร, คลังรับจ่าย LNG 3 แห่ง, ธุรกิจเทรดดิ้ง, ปิโตรเคมีและโรงกลั่น, ค้าปลีกน้ำมันและไฟฟ้า ผ่านบริษัทเครืออย่าง GPSC พร้อมกันนี้ ปตท.ยังมองหา “โอกาสธุรกิจใหม่” เพื่อรองรับเทรนด์พลังงานอนาคตที่เชื่อมโยงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ