คนเสียชีวิตจากอุณหภูมิสูงขึ้น นาทีละคน เสียหายเพิ่มอีกหากไม่หยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

รายงานเผยอุณหภูมิสูงทั่วโลก คร่าชีวิตนาทีละคน เสียรายได้ 1 ล้านล้านดอลลาร์ นักวิจัยเตือนความเสียหายเพิ่มอีก หากไม่หยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
KEY
POINTS
- รายงาน The Lancet Countdown เผยว่าอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกเฉลี่ยนาทีละ 1 คน
- การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องเป็นต้นเหตุหลักที่ก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งมลพิษทางอากาศ ไฟป่า และความไม่มั่นคงทางอาหาร
- อุณหภูมิที่สูงยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียชั่วโมงการทำงานและรายได้มหาศาลทั่วโลก
- แม้จะเกิดผลกระทบร้ายแรง แต่รัฐบาลและสถาบันการเงินหลายแห่งยังคงให้เงินอุดหนุนและสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล
รายงานเผย ความร้อนที่สูงขึ้นคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกนาทีละหนึ่งคน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตหลายล้านคนจากผลกระทบร่วมกันของความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ทั่วโลกยังคงใช้เผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่เป็นพิษ ไฟป่า และการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ เช่น ไข้เลือดออก จนทำให้ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เฉลี่ยคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกนาทีละหนึ่งคน
รายงาน The Lancet Countdown on Health and Climate Change ฉบับปี 2025 นำโดย UCL ร่วมกับองค์การอนามัยโลก และจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญ 128 คนจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานสหประชาชาติมากกว่า 70 แห่ง พบว่า รัฐบาลต่าง ๆ จ่ายเงินอุดหนุนโดยตรงแก่บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลวันละ 2,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ของประชาชนที่ขาดหายไป เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงจนทำให้พวกเขาไม่สามารถทำงานกลางแจ้งได้
รายงานระบุว่า แม้ในตอนนี้อัตราการผลิตพลังงานหมุนเวียนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการลดการเผาไหม้ถ่านหินช่วยชีวิตคนได้ประมาณ 400 คนต่อวันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าสถานการณ์คงไม่ดีไปกว่านี้ หากยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอัตราปัจจุบัน
ดร.มารีนา โรมาเนลโล จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) ผู้นำการวิเคราะห์ กล่าวว่า “รายงานฉบับนี้อาจจะแสดงภาพในแง่ร้าย แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เกี่ยวกับอันตรายต่อสุขภาพอันร้ายแรงที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลก ความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่จะยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะยุติการเสพติดเชื้อเพลิงฟอสซิล
“เรากำลังเห็นการเสียชีวิตหลายล้านคนเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นทุกปี เนื่องจากความล่าช้าในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความล่าช้าในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เรากำลังเห็นผู้นำ รัฐบาล และบริษัทต่าง ๆ ละทิ้งพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ และทำให้ผู้คนตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ” ดร.โรมาเนลโลกล่าวเสริม
รายงานระบุว่า อัตราการเสียชีวิตจากความร้อนพุ่งสูงขึ้นถึง 23% นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 แม้จะคำนึงถึงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม โดยอยู่ที่เฉลี่ย 546,000 คนต่อปี ระหว่างปี 2012 -2021
“นั่นคือประมาณหนึ่งคนเสียชีวิตจากความร้อนทุกนาทีตลอดทั้งปี นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก และตัวเลขนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” ศ.ออลลี่ เจย์ จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ หนึ่งในทีมวิเคราะห์กล่าว
เจย์กล่าวเสริมว่า “เราย้ำกับผู้คนอยู่เสมอว่าความเครียดจากความร้อนสามารถส่งผลกระทบต่อทุกคน และอาจถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งผมคิดว่าหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทั้งที่การเสียชีวิตจากความร้อนทุกกรณีสามารถป้องกันได้”
ขณะที่ ลอรา คลาร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทกฎหมายสิ่งแวดล้อม ClientEarth กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในยุคที่ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศแผ่ขยายออกไป คลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง และโรคระบาดต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้”
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้ว คนเราต้องเผชิญกับความร้อนที่คุกคามชีวิต 19 วันต่อปี โดยมีถึง 16 วันจากทั้งหมดที่จะไม่ร้อนเลย ถ้าไม่มีภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
โดยรวมแล้วในปี 2024 การสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงส่งผลให้สูญเสียเวลาการทำงานถึง 639,000 ล้านชั่วโมง เกิดการสูญเสียรายได้ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลง 6% ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และคิดเป็นเกือบ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั่วโลก รายงานระบุว่าการนอนหลับที่สูญเสียไปในตอนกลางคืนเนื่องจากอุณหภูมิสูงก็เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 9% ในปี 2024
การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่ทำให้โลกร้อนขึ้นเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคนต่อปี ขณะเดียวกันไฟป่าที่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งมากก็เกิดมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ในปี 2024 มีผู้เสียชีวิตจากควันไฟ 154,000 ราย
ส่วนภัยแล้งและคลื่นความร้อนสร้างความเสียหายต่อพืชผลและปศุสัตว์ทั่วโลก มีประชากรอีก 123 ล้านคนต้องทนทุกข์ทรมานกับภาวะขาดแคลนอาหารในปี 2023 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปีระหว่างปี 1981-2010
แม้ประชากรจะได้รับผลกระทบ แต่รัฐบาลทั่วโลกกลับให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรงเป็นมูลค่า 956,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 นักวิจัยกล่าวว่าเงินอุดหนุนนี้มีมูลค่ามากกว่าเงินอุดหนุนที่องค์การสหประชาชาติให้เพื่อสนับสนุนประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ซึ่งอยู่ที่ 300,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
รายงานระบุว่า ในปี 2023 สหราชอาณาจักรให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นมูลค่า 28,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ออสเตรเลียให้เงินอุดหนุน 11,000 ล้านดอลลาร์ และมี 15 ประเทศ รวมถึงซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ เวเนซุเอลา และแอลจีเรีย ที่ใช้จ่ายเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่างบประมาณด้านสุขภาพของประเทศ
บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล 100 รายใหญ่ที่สุดของโลกได้เพิ่มการผลิตที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าเป้าหมายของข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถึง 3 เท่า ซึ่งมีเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกร้อนให้สูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.5 องศาเซลเซียส
ดูเหมือนว่าภาคการเงินเอง ก็กำลังสนับสนุนการขยายตัวของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะผู้ให้เงินกู้ 40 อันดับแรกของภาคเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ลงทุนรวมกันสูงสุดในรอบ 5 ปี ด้วยเงินสูงถึง 611,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ขณะที่การให้กู้ยืมในภาคส่วนสีเขียวกลับลดลงเหลือ 532,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
“หากเรายังคงให้เงินทุนสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลและสนับสนุนการขยายตัวของเชื้อเพลิงฟอสซิลนี้ต่อไป เรารู้ว่าอนาคตที่สดใสเป็นไปไม่ได้” ศ.โรมาเนลโล
การแก้ปัญหาและปกป้องชีวิตผู้คนให้รอดพ้นจากสภาพอากาศสุดขั้ว ต้องทำพร้อมกันในหลายด้านตั้งแต่พลังงานสะอาด การปรับตัวของเมือง ไปจนถึงการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
ที่มา: Bloomberg, E&E News, The Guardian







