แนวทางรับมือผลกระทบไมโครพลาสติกในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม

แนวทางรับมือผลกระทบไมโครพลาสติกในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม

เผยแนวทางรับมือ ผลกระทบจากไมโครพลาสติกในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม หลังผลวิจัยพบมนุษย์อาจบริโภคไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกาย ในปริมาณกว่า 2,000 ชิ้น หรือ 5 กรัมต่อสัปดาห์

ในปัจจุบันปัญหาขยะพลาสติกเป็นหนึ่งในวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลก World Bank ได้ระบุว่า โลกมีขยะมูลฝอยในเขตเทศบาล 2,010 ล้านตันต่อปี ประกอบไปด้วย ประเภทอาหารและขยะสีเขียว 44% ประเภทกระดาษ 17% ประเภทพลาสติก 12% ประเภทแก้ว 5% ประเภทโลหะ 4% ประเภทยางและหนัง 2% ประเภทไม้ 2% และประเภทอื่นๆ 14%

ปัจจุบันมีวิธีการจัดการขยะ ได้แก่ การหมักปุ๋ย การเผา การทิ้งแบบเปิดโล่ง การรีไซเคิล การฝังกลบแบบควบคุม ไม่ได้ควบคุม และ แบบถูกสุขอนามัย นั่นคือ มีระบบรวบรวมก๊าซจากขยะ และอื่น ๆ ซึ่งจากวิธีการจัดการขยะข้างต้น ขยะอย่างน้อย 33% ไม่ได้รับการจัดการอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในอนาคตคาดว่าขยะทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.40 พันล้านตัน (เพิ่มขึ้น 70%) ภายในปี 2593 การจัดการขยะที่ไม่เหมาะสมนี้เป็นแหล่งมลพิษทางอากาศและน้ำ เป็นพาหะของโรค สาเหตุของน้ำท่วมในเมือง การสูญเสียมูลค่าและทรัพยากร และเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ไมโครพลาสติก ซึ่งเป็นชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ไมโครพลาสติกปฐมภูมิ (Primary Microplastics) เกิดจากการผลิตโดยตรงในรูปแบบเม็ดพลาสติกขนาดเล็กเพื่อการใช้ประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น ไมโครบีดส์ (เม็ดพลาสติกที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เครื่องสำอางหรือยาสีฟัน) และ ไมโครพลาสติกทุติยภูมิ (Secondary Microplastics) เกิดจากการสลายตัวของพลาสติกขนาดใหญ่

เมื่อปี 2563 องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ในออสเตรเลียได้ศึกษาวิจัยหาปริมาณพลาสติกจากแหล่งธรรมชาติสู่วงจรบริโภคของมนุษย์ พบว่า มนุษย์อาจบริโภคไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกาย ในปริมาณกว่า 2,000 ชิ้น หรือ 5 กรัมต่อสัปดาห์ เนื่องจากไมโครพลาสติกมีขนาดเล็กและกำจัดยาก ดังนั้นไมโครพลาสติกสามารถแพร่กระจายเข้าสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว และแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในน้ำ ดิน หรืออากาศ รวมถึงทำให้เกิดการสะสมในห่วงโซ่อาหาร (Food chain) และสามารถถ่ายทอดไปตามลำดับขั้นของการบริโภคอาหารในระบบนิเวศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ และผลกระทบโดยรวม เช่น เมื่อมนุษย์รับประทานอาหารที่มีไมโครพลาสติกเข้าไป จะส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ดังนี้

1. ระบบย่อยอาหาร โดยการรับเข้าสู่ร่างกายโดยการกลืนกินจากอาหารและน้ำดื่ม อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังผนังลำไส้ เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะลำไส้แปรปรวน และอาจเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในระยะยาว ความเสี่ยงในการแตกของแบคทีเรียในลำไส้ ส่งผลให้เกิดปัญหาการดูดซึมสารอาหารและภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

2. ระบบหายใจ โดยการสูดดมอากาศ ไมโครพลาสติกสามารถลอยในอากาศและถูกสูดเข้าสู่ปอดผ่านฝุ่น (PM) หรือเส้นใยจากเสื้อผ้าสังเคราะห์ การสูดดมต่อเนื่องอาจนำไปสู่การอักเสบและระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจ ที่อาจพัฒนาเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือหอบหืด การผลิตสารอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species: ROS) ในเซลล์เยื่อบุปอด ทำให้เกิดความเครียดออกซิเดชันและอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการเกิดโรคมะเร็งปอด

3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ไมโครพลาสติกถูกตรวจพบในแผ่นโลหะในหลอดเลือดแดงตำแหน่ง Carotid artery ของผู้ป่วย แสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจวายเพิ่มขึ้น และภาวะอักเสบและออกซิเดชัน หากมีไมโครพลาสติกที่สะสมในหลอดเลือด อาจทำให้เซลล์ Endothelial เกิดการตอบสนองอักเสบ ตลอดจนส่งเสริมการสร้างคราบพลัค (Atheroma) ในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือดและภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบได้

4. ระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมน ส่งผลต่อฮอร์โมนและระบบต่อมไร้ท่อ โดยไมโครพลาสติก มีสารเติมแต่ง เช่น Bisphenol A (BPA) ซึ่งเป็นสารก่อฮอร์โมนรบกวน (Endocrine Disruptors) รวมถึง อนุภาคโพลีสไตรีน (Polystyrene) และการรับไมโครพลาสติกอาจลดจำนวนและคุณภาพของสเปิร์ม เพิ่มโอกาสเกิดภาวะมีบุตรยากในเพศชาย ส่วนเพศหญิงอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน และคุณภาพไข่ลดลง

5. ระบบภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยอาจลดประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคของเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือก่อให้เกิดภาวะแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune) ได้

6. ระบบประสาทและสมอง อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมอง เช่น การอักเสบของเซลล์ประสาท (Neuroinflammation) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบประสาทเรื้อรัง เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน การสร้างอนุมูลอิสระในเซลล์ประสาท เสี่ยงต่อการเกิดการตายของเซลล์ (Apoptosis) การทำงานของสมองถดถอย และตามทฤษฎีพบว่าไมโครพลาสติกอาจทำให้เกิด oxidative stress ได้ นอกจากนี้ในเด็ก ไมโครพลาสติกสามารถถูกส่งผ่านจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ หรือพบในน้ำคร่ำและน้ำนมแม่ อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองและพฤติกรรมของเด็ก เช่น ความจำ เสี่ยงต่อสมาธิ

7. ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เกิดความเสียหายทางพันธุกรรม จากสาร PFAS (Per- and Polyfluoroalkyl Substances) ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เชื่อมโยงกับมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ และมะเร็งเต้านม เป็นต้น

นอกจากไมโครพลาสติกมีผลต่อสุขภาพมนุษย์โดยตรงยังมีผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศอันได้แก่

1. ภาระด้านสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายรักษาโรค

ไมโครพลาสติกสัมพันธ์กับโรคเรื้อรัง เช่น โรคทางเดินหายใจ มะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบย่อยอาหาร และโรคทางระบบประสาท การที่ประชาชนเจ็บป่วยมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลและสาธารณสุขเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณมหาศาล และลดทอนกำลังแรงงานของประเทศ

2. ผลกระทบต่อแรงงานและประสิทธิภาพการทำงาน

หากแรงงานได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากไมโครพลาสติก จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง การลาป่วยเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อผลิตภาพของประเทศ และความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

3. กระทบต่อภาคการเกษตรและอาหาร

ไมโครพลาสติกปนเปื้อนในดิน น้ำ และห่วงโซ่อาหาร จะส่งผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิตทางการเกษตรและอาหาร ทำให้สินค้าเกษตรบางชนิดอาจถูกปฏิเสธการนำเข้าจากตลาดต่างประเทศ สร้างความเสียหายต่อการส่งออกและรายได้ของประเทศ

4. ภาคการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวทะเลและธรรมชาติ หากพบไมโครพลาสติกในชายหาด แหล่งดำน้ำ หรือแหล่งท่องเที่ยว จะทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหาย นักท่องเที่ยวลดลง รายได้จากการท่องเที่ยวหายไป และส่งผลต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

5. ต้นทุนในการจัดการสิ่งแวดล้อม

หากไม่มีมาตรการป้องกันและควบคุม ประเทศต้องลงทุนสูงในการจัดการขยะ การรีไซเคิล และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวที่กระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ในอีกด้านหนึ่ง หากประเทศลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เช่น บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ การรีไซเคิลขั้นสูง เทคโนโลยีบำบัดไมโครพลาสติก จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ สร้างงาน และสร้างรายได้ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ปัญหาผลกระทบจากไมโครพลาสติกมีทั้งในมิติด้านสุขภาพและมิติด้านเศรษฐกิจและสังคม การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องดำเนินการแบบบูรณาการ ครอบคลุมการลดการใช้พลาสติก การจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ประชาชนและรัฐบาลควรเร่งจัดการปัญหาขยะพลาสติก เช่น การทิ้งขยะให้ถูกที่ การออกกฎหมาย การประชาสัมพันธ์ ฯลฯ และสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน

การจัดการปัญหาไมโครพลาสติกสามารถทำได้หลากหลายตั้งแต่การปรับพฤติกรรมของตนเอง เช่น การใช้หลัก 5 R ได้แก่ Reduce การลดการใช้พลาสติก และเปลี่ยนมาใช้วัสดุอุปกรณ์อื่นแทน เช่น การใช้กระติกน้ำ การใช้ถุงผ้า, Reuse การใช้ซ้ำ ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด, Recycle การแปรรูป การนำวัสดุเหลือใช้มาทำใหม่, Refuse การปฏิเสธสิ่งของที่อาจส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ เช่น การปฏิเสธการใช้หลอดพลาสติกในร้านอาหาร, Repair การซ่อมแซมสิ่งของให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น ประกอบกับการแยกขยะในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการขั้นต่อไป เช่น ขวดน้ำพลาสติกที่สะอาด สามารถทิ้งในขยะรีไซเคิลได้ เพื่อนำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ต่อ

รัฐสามารถช่วยควบคุมการใช้ไมโครพลาติกได้โดยการกำหนดมาตรการ เช่น การออกกฎหมายควบคุมการทิ้งขยะ เช่น การจ่ายค่าปรับเมื่อมีการทิ้งขยะไม่ถูกที่ และการเพิ่มถังขยะตามสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง เพื่อให้ประชาชนสามารถทิ้งขยะได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงการประชาสัมพันธ์ข่าว ผลกระทบ และวิธีการจัดการตามช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์ โปสเตอร์ โฆษณา และการรณรงค์ เป็นต้น จากวิธีการจัดการปัญหาไมโครพลาสติกข้างต้นนั้นเพียงพอต่อการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากประชาชนทุกคนร่วมมือกัน จะลดปริมาณขยะได้จริง และควรเร่งแก้ปัญหานี้ เนื่องจากข้อมูลสถิติข้างต้น ปริมาณขยะของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ผลกระทบหลักต่อเศรษฐกิจจากการจัดการปัญหาขยะและไมโครพลาสติกคือการเพิ่มต้นทุนด้านสุขภาพ การสูญเสียรายได้จากแรงงาน การส่งออก และการท่องเที่ยว แต่หากมีการบริหารจัดการอย่างจริงจัง ก็สามารถพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสีเขียวและนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมได้