'America First' กระเทือน ESG อนาคตความยั่งยืน ขึ้นอยู่กับการ 'เจรจาเป็นรายประเทศ'

'America First' กระเทือน ESG อนาคตความยั่งยืน ขึ้นอยู่กับการ 'เจรจาเป็นรายประเทศ'

จากยุคที่สหรัฐฯ สร้าง UN และ WTO เพื่อค้ำจุนระเบียบเสรีนิยม สู่ยุค 'America First' ปัจจัยทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งใหญ่ (ยูเครน-กาซา) ดันอเมริกันชนให้หันหลังให้พหุภาคี ธุรกิจทั่วโลกต้องตั้งรับโลกใหม่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเพียง "ดีล" ที่เจรจาได้เสมอ

KEY

POINTS

  • นโยบาย 'America First' ของสหรัฐฯ ทำให้ระเบียบโลกเปลี่ยนจากการยึดมั่นในกติกาพหุภาคีไปสู่การเจรจาต่อรองเป็นรายประเทศ (Deal-Based)
  • แนวทางดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อความร่วมมือด้านความยั่งยืน (ESG) และสิ่งแวดล้อมโลก ทำให้ข้อตกลงระหว่างประเทศขาดความแน่นอนและขึ้นอยู่กับการเจรจาเป็นรายกรณี
  • สหรัฐฯ หันมาใช้ "กำแพงภาษี" เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจหลักในการกดดันคู่ค้า ซึ่งอาจรวมถึงการใช้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการเจรจาทางการค้า

จากยุคที่สหรัฐฯ สร้าง UN และ WTO เพื่อค้ำจุนระเบียบเสรีนิยม สู่ยุค 'America First'  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งใหญ่ (ยูเครน-กาซา) ดันอเมริกันชนให้หันหลังให้พหุภาคี ธุรกิจทั่วโลกต้องตั้งรับโลกใหม่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเพียง "ดีล" ที่เจรจาได้เสมอ

“ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี” นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กรรมการผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และสมาชิกวุฒิสภาเศรษฐกิจกล่าวบนเวที CHG Global Summits 2025 ในหัวข้อ ภาวะผู้นำของสหรัฐอเมริกา และโลกาภิวัตน์และภูมิรัฐศาสตร์ ว่าใน เชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับภาวะผู้นำของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยระเบียบโลกที่ยึดโยงกับหลักการประชาธิปไตยเสรีนิยมและกลไกพหุภาคี (เช่น UN, WTO) กำลังถูกแทนที่ด้วย "ภาวะไร้ระเบียบโลก" (Global Disorder)

รากฐานอำนาจที่กำลังสั่นคลอน

เดิมที สหรัฐฯ สร้างและค้ำจุนระเบียบโลกด้วยเสาหลักสามด้าน ได้แก่ อำนาจเชิงอุดมการณ์ (ประชาธิปไตย/ทุนนิยม), อำนาจทางการทหาร (อาวุธนิวเคลียร์) และ อำนาจทางเศรษฐกิจ (เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเครื่องมือควบคุมโลก)

หลังเหตุการณ์ 9/11, วิกฤตการเงินปี 2550-2551, การผงาดขึ้นของจีนจนเกิด 'กับดักธูซิดิดีส' และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รอบใหม่ (สงครามยูเครน/กาซา) ได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันต่อระเบียบโลกที่พวกเขาสร้างขึ้น แนวคิด "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) จึงถือกำเนิดขึ้น สะท้อนความรู้สึกว่า "ระเบียบโลกทำให้สหรัฐฯ ล้มเหลว"

ระเบียบโลกใหม่ ยุคแห่ง "ดีล" และ "ภาษี"

ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีลักษณะเป็น "การเจรจาต่อรองเป็นรายกรณี" (Transactional and Deal-Based) อย่างชัดเจน สหรัฐฯ กำลังลดบทบาทในสถาบันพหุภาคีลงอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญกับข้อตกลงทวิภาคีมากกว่ากฎเกณฑ์เดิม

ในยุคนี้ สหรัฐฯ ได้เปลี่ยนอาวุธสำคัญ แทนที่จะใช้แสนยานุภาพทางทหารแบบดั้งเดิม สหรัฐฯ หันมาใช้ "กำแพงภาษี" เป็นเครื่องมือหลักในการกดดันและต่อรองกับคู่ค้าและคู่แข่ง นี่คือสัญญาณชัดเจนของการสิ้นสุดยุคโลกาภิวัตน์แบบเสรีนิยมที่ดำเนินมาเกือบ 80 ปี

การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ด้านความมั่นคง แต่รวมถึง "ความยั่งยืน"  ด้วยเช่นกัน เมื่อกฎเกณฑ์พหุภาคีอ่อนแอลง การทำข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ (เช่น ข้อตกลงปารีส หรือการต่อสู้กับโลกร้อน) อาจกลายเป็นเรื่องที่ต้องเจรจาเป็นรายประเทศมากขึ้น ซึ่งท้าทายความพยายามของนานาชาติในการสร้างมาตรฐานและเป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง CBAM ที่สหรัฐฯ อาจนำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในการทำ "ดีล" ของตนเอง

  • การหันหลังให้พหุภาคี จุดเสี่ยงของความยั่งยืน

โลกใหม่กำลังเข้าสู่ยุค "การเจรจาต่อรองเป็นรายกรณี" (Transactional and Deal-Based) โดยสหรัฐฯ เลือกที่จะเน้นข้อตกลงทวิภาคี (Bilateral) แทนกรอบความร่วมมือพหุภาคี (Multilateral) เช่น UN และ WTO  "สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ใครมาแบ่งปันอำนาจของสหรัฐฯ"

การเปลี่ยนผ่านนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม

ความเสี่ยงของข้อตกลงปารีส: นโยบาย "America First" เคยนำไปสู่การถอนตัวจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) และเน้นความมั่นคงด้านพลังงานก่อนการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ  หากสหรัฐฯ กลับมาใช้แนวทางนี้อีกครั้ง ความพยายามรวมศูนย์ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน (เช่น การบรรลุเป้าหมาย Net Zero) อาจเผชิญอุปสรรคครั้งใหญ่

เม็ดเงิน ESG ไหลเข้าเอเชีย: ข้อมูลจาก Morgan Stanley, SET Investnow ระบุว่าความไม่แน่นอนทางนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการส่งสัญญาณลดบทบาทด้านพลังงานสะอาด ได้กระตุ้นให้เม็ดเงินลงทุนในกองทุน ESG กว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มเคลื่อนย้ายออกจากสหรัฐฯ ไปสู่ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกำลังทุ่มงบประมาณในโครงการพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง

'กำแพงภาษี' อาวุธใหม่เหนือกว่าขีปนาวุธ: สหรัฐฯ ใช้ "กำแพงภาษี" ในอัตราสูง เช่น การเสนอปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศ 10% และสินค้าจีนสูงสุด 60% เพื่อกดดันคู่ค้าและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ  

การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจนี้แทนที่การใช้อำนาจทางการทหาร ทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้ามีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจรวมถึงการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) ที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาเป็นรายกรณี