มิติใหม่ 'เศรษฐกิจสีน้ำเงิน' เดินหน้าสู่การฟื้นฟูมหาสมุทรเพื่อความยั่งยืน

จากแนวคิดความยั่งยืนสู่การ 'ฟื้นฟู' มหาสมุทรอย่างแท้จริง ภาคธุรกิจทะเลทั่วโลกกำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ จะปรับตัวอย่างไรให้การฟื้นฟูระบบนิเวศกลายเป็นรากฐานของความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจสีน้ำเงินกำลังเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดการรักษาสภาพ (sustainability) ไปสู่การ "ฟื้นฟู" (regenerative) ระบบนิเวศทางทะเล โดยมองว่าการฟื้นตัวของธรรมชาติจะนำมาซึ่งผลกำไรและความรุ่งเรืองที่ยั่งยืน
- ภาคส่วนหลักทางทะเล เช่น การประมง การขนส่ง และพลังงาน กำลังปรับเปลี่ยนแนวทางสู่การฟื้นฟูสต็อกสัตว์น้ำ การใช้พลังงานสะอาด และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อเป้าหมาย Net Zero
- นานาชาติเริ่มผลักดันนโยบายและกฎหมายเพื่อการฟื้นฟู เช่น แผนมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Sustainable Ocean Plans) และกฎหมายฟื้นฟูธรรมชาติ (Nature Restoration Law) เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเข้ากับสุขภาพของระบบนิเวศ
- ความสำเร็จของเศรษฐกิจสีน้ำเงินยุคใหม่จะถูกวัดจากความสามารถในการฟื้นฟูทุนทางธรรมชาติ เช่น การเพิ่มขึ้นของทรัพยากรปลา การกักเก็บคาร์บอน และความหลากหลายทางชีวภาพ
สถานการณ์สุขภาพของมหาสมุทรทั่วโลกยังคงเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความจำเป็นเร่งด่วนที่ประชาคมโลกจะต้องก้าวข้ามเพียงแค่การรักษาสภาพ (sustainability) ไปสู่การสร้าง เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ที่มีการฟื้นฟู (regenerative) องค์กรระดับโลกและรัฐบาลหลายประเทศต่างตระหนักว่า การปล่อยให้มหาสมุทรเสื่อมโทรมต่อไปจะบั่นทอนโอกาสทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ในที่สุด
การฟื้นฟูคือโอกาสทางเศรษฐกิจ
การฟื้นฟูไม่ได้เป็นเพียงแค่เป้าหมายทางนามธรรม แต่คือการยอมรับเชิงปฏิบัติว่า การฟื้นตัวทางนิเวศวิทยาจะนำมาซึ่งผลกำไรในระยะยาวและความเจริญรุ่งเรืองทางสังคมอย่างแท้จริง การวัดความสำเร็จของเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่เน้นการฟื้นฟูจึงต้องพิจารณาจาก
- แนวปะการังที่สร้างตัวขึ้นใหม่
- ทรัพยากรปลาที่เพิ่มจำนวน
- ชายฝั่งที่ทำหน้าที่ปกป้องวิถีชีวิตและชุมชนให้เติบโต
การเปลี่ยนผ่านจาก 'การสกัด' สู่ 'การฟื้นฟู'
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจทะเลถูกวัดด้วยการเติบโตของตัวชี้วัดเชิงอุตสาหกรรม เช่น ปริมาณสินค้าขนส่ง, ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้, และจำนวนนักท่องเที่ยว แต่แนวคิดการฟื้นฟูตั้งคำถามใหม่ว่า กิจกรรมเหล่านี้รวมกันแล้วช่วยเพิ่มขีดความสามารถของมหาสมุทรในการดำรงชีวิตหรือไม่
แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านในภาคส่วนหลัก
การประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
การจับสัตว์น้ำจากธรรมชาติ ทั่วโลกคงที่อยู่ที่ประมาณ 90 ล้านตันต่อปีมาเป็นทศวรรษ อนาคตของภาคส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในการจับเพิ่ม แต่ในการ ฟื้นฟูสต็อกสัตว์น้ำและถิ่นที่อยู่ รวมถึงการสร้างความมั่นคงในสิทธิของชาวประมงพื้นบ้านรายย่อย
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แซงหน้าการจับสัตว์น้ำจากธรรมชาติเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2565 ด้วยปริมาณ 94.4 ล้านตัน ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุปทานอาหารทะเล
การขนส่งทางเรือ
การขนส่งซึ่งรับผิดชอบการค้าโลกกว่า 80% และปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 2% กำลังปรับทิศทางสู่ เป้าหมาย Net Zero ภายใน 2593 โดยต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงสะอาด การออกแบบเรือใหม่ และกฎระเบียบที่สอดคล้องกัน
พลังงานหมุนเวียนนอกชายฝั่ง
พลังงานลมในทะเลทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งถึง 83 กิกะวัตต์ในปี 2567 ซึ่งมากกว่าสามเท่าของเมื่อสิบปีก่อน และคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 2,000 กิกะวัตต์ภายในปี 2593 ภาคส่วนนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การเติบโตและการฟื้นฟูสามารถมาบรรจบกันได้ ผ่านการผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำ การสร้างงานชายฝั่ง และการสนับสนุนการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลเมื่อมีการวางแผนที่เหมาะสม
ธรรมาภิบาลและการลงทุนเพื่อการฟื้นฟู
หลายประเทศเริ่มผนวกแนวคิดการฟื้นฟูเข้ากับการวางแผนมหาสมุทรระดับชาติ คณะทำงานระดับสูงเพื่อเศรษฐกิจมหาสมุทรที่ยั่งยืน (High-Level Panel for a Sustainable Ocean Economy) ได้เรียกร้องให้รัฐชายฝั่งและรัฐเกาะนำ แผนมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Sustainable Ocean Plans) มาใช้เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมทะเลเข้ากับสุขภาพของระบบนิเวศ
ในยุโรป ได้มีการผลักดัน กฎหมายฟื้นฟูธรรมชาติ (Nature Restoration Law) ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมทางบกและทางทะเลอย่างน้อย 20% ภายในปี 2573
- สหราชอาณาจักร กำลังพิจารณา Marine Net Gain ซึ่งจะกำหนดให้เกิดการปรับปรุงธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรมเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ
- ประเทศจีน กำลังกำหนดนโยบายชายฝั่งใหม่ผ่านหลักการ 'อารยธรรมเชิงนิเวศ'
นอกจากนี้ การฟื้นฟูระบบนิเวศสำคัญ เช่น ป่าโกงกาง หญ้าทะเล และแนวปะการัง กำลังก้าวไปสู่ระดับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิด อุตสาหกรรมการฟื้นฟู ที่ต้องอาศัยการเงินที่มั่นคง ระบบการติดตามข้อมูล และผู้ดูแลในระยะยาว
ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
แม้จะมีเงินทุนไหลเข้าสู่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีผลกระทบต่ำ พลังงานหมุนเวียน และการฟื้นฟู แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพิงชายฝั่งยังคงเผชิญกับอุปสรรคทางโครงสร้าง เช่น ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วถึง 8-12% การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัย การเงินแบบผสมผสาน (Blended Finance), ตราสารหนี้สีน้ำเงิน (Blue Bonds), และโครงการแลกเปลี่ยนหนี้เพื่อธรรมชาติ (Debt-for-nature swaps) เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีน้ำเงินจะไม่ซ้ำรอยรูปแบบการพึ่งพิงทรัพยากรแบบเดิม แต่จะส่งเสริมความมั่งคั่งทางทะเลที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าระยะยาวจะตกอยู่กับอุตสาหกรรมที่สามารถเติมเต็มทุนทางธรรมชาติที่ตนเองต้องพึ่งพา และคลื่นลูกใหม่ของเศรษฐกิจสีน้ำเงินจะถูกวัดด้วยการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู ปริมาณชีวมวลที่สร้างใหม่, ปริมาณคาร์บอนที่ถูกกักเก็บ, ความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้รับการฟื้นฟู, และจำนวนวิถีชีวิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในกระบวนการนี้
ที่มา : World Economic Forum







