'ภัยแล้ง-น้ำท่วมถึงขีดสุด' WEF ลั่น 5 พันล้านคนทั่วโลกเสี่ยงขาดแคลนน้ำภายใน 2593

สั่นสะเทือนเวทีโลกด้านทรัพยากรน้ำ เมื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวิกฤติน้ำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองกำลังถึงจุดวิกฤติ
KEY
POINTS
- WEF คาดการณ์ว่าภายในปี 2593 ประชากรโลกกว่า 5 พันล้านคนจะเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมือง
- วิกฤติน้ำเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยคาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อ GDP โลกถึง 31% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2593
- เมืองต่างๆ คือศูนย์กลางของวิกฤต โดยความต้องการใช้น้ำในเขตเมืองคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 80% และภัยพิบัติที่เกี่ยวกับน้ำได้ทวีความรุนแรงขึ้น 5 เท่าตั้งแต่ปี 2513
- ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจากวิกฤติน้ำ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีการคาดการณ์ว่าอาจเผชิญภาวะน้ำท่วมเกือบทั้งหมดภายในปี 2593 หากระดับน้ำทะเลยังคงเพิ่มสูงขึ้น
รายงานฉบับล่าสุดจาก World Economic Forum และ Imperial College London สั่นสะเทือนเวทีโลกด้านทรัพยากรน้ำ เมื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวิกฤติน้ำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองกำลังถึงจุดวิกฤติ รายงานระบุว่าในปัจจุบัน ประชากรโลกเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 3.6 พันล้านคน กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงอย่างน้อยเดือนละครั้ง และคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะพุ่งสูงเกิน 5 พันล้านคนภายใน 2593
ความตึงเครียดด้านน้ำไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ที่คาดว่าจะฉุดรั้งผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วโลกถึง 31% หรือคิดเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในช่วงเวลาเดียวกัน รายงานย้ำว่าโลกไม่สามารถพึ่งพาแค่ "เทคโนโลยี" ได้อีกต่อไป แต่ต้องสร้าง "ระบบนิเวศนวัตกรรม" เพื่อเปลี่ยนเมืองให้เป็นผู้นำด้านความมั่นคงทางน้ำ
เมืองคือแนวหน้าของหายนะทางน้ำ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกได้กลายเป็นศูนย์กลางของวิกฤตน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความต้องการน้ำในเขตเมืองคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 80% ภายใน 2593 เพราะประชากรในเมืองจะเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 70% ของประชากรโลก โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในหลายเมืองมีความเก่าแก่ และการบริหารจัดการที่แยกส่วน (Siloed) ทำให้ความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงด้านน้ำลดลงอย่างมาก ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม และพายุ ได้ทวีความถี่และความรุนแรง โดยนับตั้งแต่ 2513 เป็นต้นมา ภัยพิบัติเหล่านี้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติถึง 70% ทั่วโลก
นวัตกรรมติดอยู่ใน "หุบเหวแห่งความตาย"
หัวใจของปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนเทคโนโลยีใหม่ ๆ รายงานยอมรับว่ามีนวัตกรรมที่สามารถพลิกโฉมได้เกิดขึ้นมากมาย เช่น เทคโนโลยีบำบัดน้ำแบบกระจายศูนย์ การจัดการรั่วไหลด้วย AI หรือเซ็นเซอร์อัจฉริยะ แต่โซลูชันเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่สามารถ "ขยายผล" เพื่อนำมาใช้งานจริงในระดับเมืองได้ นักนวัตกรรมน้ำจำนวนมากต้องติดอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า "หุบเหวแห่งความตาย" (valley of death) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อที่นวัตกรรมขาดแคลนการสนับสนุนทางการเงินที่เหมาะสม การเข้าถึงตลาดที่ชัดเจน หรือกรอบกฎหมายที่ยืดหยุ่น เมืองต่าง ๆ ยังขาด "สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย" (Enabling Environment) ที่จะเชื่อมโยงผู้คิดค้นกับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง
การแก้ปัญหาต้องเปลี่ยนจาก "จุด" เป็น "ระบบ"
การแก้ปัญหาที่ยังคงเน้นการติดตั้งอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีเฉพาะจุดนั้นไม่เพียงพอต่อความท้าทายในปัจจุบันอีกต่อไป ความอยู่รอดของเมืองในอนาคตขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง "ระบบนิเวศนวัตกรรมน้ำ" (Water Innovation Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งหมายถึงการรวมพลังของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ประกอบการน้ำ (Aquapreneurs), ผู้ให้บริการน้ำ (Utilities), หน่วยงานกำกับดูแล, นักลงทุน, นักวิจัย ไปจนถึงชุมชน ให้ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและมีความยืดหยุ่น การปฏิรูปนี้จะช่วยให้เมืองสามารถเปลี่ยนจากการ "ตอบสนอง" ต่อวิกฤตน้ำ ไปสู่การ "คาดการณ์และปรับตัว" ก่อนที่วิกฤติจะมาถึง
ความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกและไทย
รายงานของ WEF ระบุถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่รุนแรง โดยประเมินว่าความตึงเครียดด้านน้ำจะทำให้ GDP ทั่วโลกต้องสูญเสียมูลค่าสูงถึง 31% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน พ.ศ. 2593
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสถาบันวิจัยและหน่วยงานภาครัฐต่างยืนยันว่า ประเทศไทยเผชิญกับความเสียหายจากวิกฤตน้ำซ้ำซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ โดย
จากรายงานสุขภาพคนไทย ระบุว่า มหาอุทกภัย 2554 ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี โดยธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายสูงถึงกว่า 1.425 ล้านล้านบาท (14% ของ GDP ในขณะนั้น) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ของประเทศ
อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีอื่น ๆ เช่น อุทกภัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท (เช่น 30,000 – 40,000 ล้านบาท ในแต่ละเหตุการณ์) กระทบพื้นที่เกษตรกรรมหลายล้านไร่ และทำลายห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม ฃ
ความเสี่ยงในอนาคต งานวิจัยจาก Climate Central และนักวิชาการยังชี้ว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงติดอันดับโลกในการเผชิญกับอุทกภัยหนักในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่คาดการณ์ว่าอาจเผชิญภาวะน้ำท่วมเกือบทั้งหมดภายใน 2593 หากระดับน้ำทะเลยังคงเพิ่มสูงขึ้น
ที่มา : ศูนย์วิจัยกรุงศรี, หอการค้าไทย , มูลนิธิสืบนาคะเสถียร







