Go Green …. ยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

Go Green …. ยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

ความสามารถในการแข่งขันของไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลดังกล่าวระบุในรายงาน Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุดของธนาคารโลก

อีกทั้งระบุว่า การเปลี่ยนผ่านดังกล่าว หากสามารถทำได้สำเร็จจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมและบริการใหม่ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับ Social Impact Investor

Social Impact Investor เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ให้ความสนใจการลงทุนในโครงการหรือกิจกรรม ที่มุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับผลตอบแทนทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญอยู่ที่ว่าแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น

ต้องใช้กลไกและกระบวนการเชิงนโยบายหรือกลยุทธ์อย่างไร และกระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องไกลตัวเกินไปสำหรับภาคธุรกิจหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศไทยซึ่งยังประสบปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตและการแข่งขันในระดับโลก

อาทิ การถูกผูกขาดโดยรายใหญ่, การขาดแคลนเงินทุน, การขาดความสามารถในการพัฒนาหรือประยุกต์ใช้นวัตกรรม,

การมีโครงสร้างบริหารจัดการที่ไม่เป็นระบบ, การขาดโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน หรือความร่วมมือในรูปแบบเครือข่ายธุรกิจ เป็นต้น 

จากคำถามข้างต้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า แนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น

จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการในเชิงยุทธศาสตร์ทั้งองคาพยพเ พื่อทำให้เกิดระบบนิเวศเกื้อหนุนทั้งระบบ อาทิ การออกนโยบายและกลยุทธ์ระดับชาติให้มีนโยบายสนับสนุนการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายและกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นขีดความสามารถหลักของประเทศไทยและคนไทย อาทิ อุตสาหกรรมการเกษตร เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคเกษตรของไทยในระยะยาว,

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมการแพทย์และบริการด้านสุขภาพ, อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ, อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัลและความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น,

การส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology), การทำมาตรการสนับสนุนด้านภาษีและเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายและภาคอุตสาหกรรมที่เป็นขีดความสามารถหลักของคนไทย มีการปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีสีเขียวในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก,

 

สนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีสีเขียวที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวระหว่างสถาบันวิจัย ภาคธุรกิจ และภาครัฐ,

การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อต่อการใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบที่ไม่สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสีเขียว เป็นต้น

คำถามประการต่อมา คือ เราจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้สนับสนุนการปรับโครงสร้างและเปลี่ยนผ่านภาคการผลิตและภาคบริการของประเทศไทยสู่การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศไทยได้อย่างไร

ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่าประเทศไทยควรวางยุทธศาสตร์ AI ระดับชาติให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology)

เพื่อทำให้ทั้งสองยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีส่วนส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกันในการนำพาประเทศไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในบริบทของการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวสำหรับภาคการผลิต ภายใต้ AI Driven จะทำให้เกิดระบบหรือกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว ที่ขับเคลื่อนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

อาทิ การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานและวัตถุดิบ, การใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติ (Automation) ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและของเสีย,

การใช้ Machine Learning เพื่อคาดการณ์ความต้องการและวางแผนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ในส่วนของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management) สามารถใช้ AI ในการวิเคราะห์และควบคุมการใช้พลังงานในโรงงาน-อาคารต่างๆ

และการใช้ AI เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับพัฒนาระบบอัจฉริยะในอาคาร และ/หรือ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, การใช้ AI เพื่อคาดการณ์และวิเคราะห์ของเสียจากการผลิต หาวิธีลดของเสียและนำกลับมาใช้ใหม่

การบำบัดของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ AI ตรวจสอบคุณภาพอากาศ น้ำ และสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต เป็นต้น

ทั้งนี้ ในส่วนของกระบวนการพัฒนา Green Technology โดยใช้ AI ควรเริ่มจาก 1) การวางแผนและวิเคราะห์ความต้องการอย่างเป็นระบบ เพื่อค้นหาโอกาสที่ AI สามารถเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือเร่งกระบวนการในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวให้ทันกับความจำเป็นของสังคมไทยและสังคมโลก

2) กำหนดเป้าหมายในการลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับกลุ่มอุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจอย่างชัดเจน รวมถึงกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) และบริการสีเขียว (Green Service)

เพื่อใช้เป็นเรือธงในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศไทยโดยที่คนไทยได้รับประโยชน์สูงสุดในระยะยาวผ่านห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่เกิดจากการพัฒนานั้น

3) เมื่อทราบถึงความต้องการและเป้าหมายที่แน่ชัดในการ Go Green แล้ว ขั้นตอนต่อมา คือ การวางกลยุทธ์ในการพัฒนาเทคโนโลยี การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา และการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ

เพื่อพัฒนาโมเดล AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์แนวโน้มที่สำคัญ, การทดลองใช้งานเทคโนโลยีสีเขียวในระดับ Pilot Project เพื่อประเมินผลก่อนนำมาปรับปรุงเพื่อใช้ในการสเกลอัพ

4) การนำเทคโนโลยีสีเขียวที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไปใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม/ภาคบริการเป้าหมาย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขอบเขตการใช้งานและขยายผลกระทบด้านความยั่งยืน (Social Impact & Financial Return) 

เมื่อเรามองเห็นถึงโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในการทำเรื่อง Green Technology (Go Green) ในกลุ่มอุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจเป้าหมายและกลุ่มอุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจที่เป็นขีดความสามารถหลักของคนไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศไทยในอนาคตแล้ว

คำถามคือ ยังมีอะไรที่เป็นอุปสรรคหรือข้อจำกัดอีก (นอกเหนือจากการมีโครงสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม)

ผู้เขียนพบว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสีเขียวที่ขาดความชัดเจนและมีความซับซ้อน

หลายเรื่องมีความยุ่งยากในการดำเนินการ เช่น ขั้นตอนการขออนุญาต, การตรวจสอบ และการบังคับใช้ที่ขาดความยืดหยุ่น ทำให้ภาคธุรกิจไม่กล้าลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว

แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะมีมาตรการขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ (Upgrading Traditional Sectors)

อาทิ มีการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ BCG ไม่ว่าจะเป็น Bio-refinery, Bio-based materials, Renewable Energy, Reuse/Recycle และในกลุ่มธุรกิจ Digital

โดยมีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ จำนวน 515 โครงการ มูลค่ารวม 114,484 ล้านบาทในปี 2567 ขณะที่มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนด้านดิจิทัล จำนวน 150 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 243,308 ล้านบาทในปี 2567

 BOI ได้ให้การส่งเสริมการลงทุนทั้งของไทยและต่างชาติ ครอบคลุมถึงกลุ่ม SMEs ที่มีเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท โดยมีการให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติมกับการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย เช่น EEC, เขตเศรษฐกิจพิเศษ และชายแดนใต้ เป็นต้น

ขณะที่กรมสรรพสามิตเองก็มีมาตรการส่งเสริม Green Technology โดยใช้มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนามาตรการสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมประเภทอื่น

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Green Technology ทั้งองคาพยพอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้น ประเทศไทยยังจำเป็นต้องพัฒนากฎหมายหรือออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวในมิติอื่นเพิ่มเติม

อาทิ มาตรการส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนา, มาตรการส่งเสริมด้านการเงิน, มาตรการส่งเสริมที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

หรือมาตรการส่งเสริมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ให้เชื่อมโยงโมเดลการประกอบการเพื่อสังคมกับ Green Supply Chain ของกลุ่มอุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจกระแสหลักได้ เป็นต้น

รวมถึงควรพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาขาดการบูรณาการระหว่างกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมกับกฎหมายด้านเทคโนโลยี ซึ่งอาจมีกรอบหรือระเบียบที่แตกต่างกัน

ทำให้ภาคธุรกิจเกิดความสับสนและไม่สามารถวางแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เราต่างรู้ว่าเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์กำลังใกล้เข้ามา เช่นเดียวกับการทำเรื่องการเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ประเทศไทยประกาศไว้ในการประชุม COP 26 ที่ผ่านมา

ภาคธุรกิจขนาดใหญ่หลายรายทั้งในไทยและต่างประเทศต่างส่งสัญญาณและเริ่มปรับตัวทำเรื่อง ESG แล้ว เพื่อรับมือกับแนวโน้มการกีดกันทางการค้า เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM)

คำถามคือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ไทยจะมีมาตรการส่งเสริมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Green Technology for SMEs ที่รอบด้านมากกว่านี้

เพื่อให้ SMEs ไทยสามารถ Go Green และปรับตัว, ลด Carbon Footprint, ปรับหรือเปลี่ยนผ่านธุรกิจของตนสู่การเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน.