อุตสาหกรรมยานยนต์เร่งเครื่อง 'เศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติก' รับมือกฎระเบียบ-สิ่งแวดล้อม

พลาสติก วัสดุสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์เบาลง ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น กำลังกลายเป็นทั้ง "ภาระ" และ "โอกาส" ครั้งใหญ่ เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกเดินหน้าสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
KEY
POINTS
- อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญแรงกดดันจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป (EU) ทำให้ต้องเร่งปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับพลาสติก
- ข้อเสนอสำคัญภายใต้กฎระเบียบใหม่คือการบังคับให้รถยนต์ใหม่ต้องใช้พลาสติกรีไซเคิลในสัดส่วนที่กำหนด (เริ่มต้นที่ 20%) ซึ่งต้องมาจากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานแล้วเท่านั้น
- แนวทางรับมือของอุตสาหกรรมคือการพัฒนานวัตกรรมการรีไซเคิลสำหรับพลาสติกที่จัดการยาก เช่น พลาสติกเสริมแรงด้วยเส้นใย (FRPs) และการนำหลัก "ออกแบบเพื่อการรีไซเคิล" มาใช้ตั้งแต่ต้นทาง
พลาสติก วัสดุสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์เบาลง ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น กำลังกลายเป็นทั้ง "ภาระ" และ "โอกาส" ครั้งใหญ่ เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกเดินหน้าสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
ความท้าทาย พลาสติกยานยนต์ส่วนใหญ่กลายเป็นขยะ
แม้พลาสติกจะมีบทบาทสำคัญในการผลิตรถยนต์ (คิดเป็น 12–15% ของความต้องการพลาสติกทั่วโลก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ต้องการวัสดุน้ำหนักเบาเพื่อเพิ่มระยะทางวิ่ง แต่เมื่อรถหมดอายุการใช้งาน วัสดุเหล่านี้ส่วนใหญ่กลับจบลงที่กองขยะ
- รีไซเคิลต่ำ: การวิเคราะห์โดยศูนย์วิจัยร่วมของสหภาพยุโรป (EU’s Joint Research Centre) พบว่า มีพลาสติกเพียงประมาณ 3% เท่านั้น ที่เข้าสู่วัฏจักรการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในตลาดรีไซเคิล
- ปัญหาเส้นใยคอมโพสิต: โดยเฉพาะ พลาสติกเสริมแรงด้วยเส้นใย (Fibre-Reinforced Plastics - FRPs) ซึ่งใช้ในการลดน้ำหนักรถ มีปัญหาการรีไซเคิลอย่างยิ่ง เนื่องจากเส้นใยจะสั้นลงหรือแตกหักในกระบวนการ ทำให้มูลค่าของวัสดุลดลง (De-valorizing)
- ปริมาณมหาศาล: ทั่วโลกมีการผลิต FRPs ประมาณ 13,000 กิโลตัน ในปี 2023 โดยมี 3 เมกะตัน ถูกใช้ในภาคยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่กลายเป็นของเสียในที่สุด
โอกาสจากแรงผลักดัน กฎระเบียบและนวัตกรรม
แรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลและผู้บริโภคกำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่กำลังเจรจาทบทวนกรอบงาน End-of-Life Vehicles (ELV) ครั้งสำคัญ
- กำหนดสัดส่วนบังคับ: ข้อเสนอภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการรัฐสภายุโรปจะกำหนดให้รถยนต์ใหม่ต้องมี พลาสติกรีไซเคิลอย่างน้อย 20% ภายใน 6 ปี หลังกฎระเบียบมีผลบังคับใช้ และเพิ่มเป็น 25% ภายใน 10 ปี (หากมีอุปทานและราคาที่เหมาะสม)
- ที่มาต้องชัดเจน: ส่วนสำคัญของพลาสติกรีไซเคิลที่บังคับใช้นี้ จะต้องมาจากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานแล้วเท่านั้นไม่ใช่เพียงแค่เศษเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต (Pre-consumer waste)
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้อุตสาหกรรมต้องพัฒนานวัตกรรมอย่างเร่งด่วน โดยมีแนวทางและเทคโนโลยีที่น่าจับตา ได้แก่ การรีไซเคิลทางกล (Mechanical Recycling) วิธีดั้งเดิมที่เหมาะสำหรับพลาสติกเทอร์โมพลาสติก (Thermoplastics) ต่อมาคือการรีไซเคิลคอมโพสิต (Composite Recycling) รวมถึงการรีไซเคิลเชิงความร้อนและกลศาสตร์ (Thermo-mechanical) ซึ่งพยายามรักษาโครงสร้างและคุณสมบัติเดิมไว้ให้มากที่สุด
รวมถึงการรีไซเคิลทางกายภาพ (Physical Recycling) เช่น เทคนิคการละลาย (Dissolution) ที่สามารถแยกพอลิเมอร์ที่ต้องการออกจากสารเติมแต่งหรือสิ่งปนเปื้อน เพื่อให้ได้พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงเทียบเท่าเกรดโรงงาน และเทคโนโลยีป้องกันเส้นใยแตก เช่น นวัตกรรมจาก Brightlands Material Centre ที่ช่วยป้องกันเส้นใยแตกหักในระหว่างกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกเสริมแรง
การออกแบบเพื่อการรีไซเคิล (Design for Recyclability)
ใช้วัสดุชีวภาพ (Bio-based Materials): เช่น เทอร์โมพลาสติกเสริมเส้นใยธรรมชาติอย่าง ป่าน (hemp), ปอ (flax) หรือ ไม้ไผ่ (bamboo) รวมถึงพอลิเมอร์ชีวภาพอย่าง PHA หรือ PLA ที่มีศักยภาพในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและอาจมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ติดลบ
- ออกแบบเพื่อการถอดประกอบ: ผู้ผลิตต้องออกแบบชิ้นส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการถอดแยกและการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่
ก้าวต่อไป ระบบนิเวศแห่งความร่วมมือ
ความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในพลาสติกยานยนต์ขึ้นอยู่กับ การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่า
- OEMs (ผู้ผลิตรถยนต์) และซัพพลายเออร์: ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงการรีไซเคิล และใช้พลาสติกรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มากขึ้น
- นักรีไซเคิลและผู้รื้อถอน: ต้องขยายโครงสร้างพื้นฐานในการรวบรวม แยก และแปรรูปพลาสติก และทำงานร่วมกันเพื่อรับรองคุณภาพของวัตถุดิบรีไซเคิล
- การแบ่งปันข้อมูล: การเปิดเผยข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในรถยนต์จะช่วยให้การรื้อถอนและรีไซเคิลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในขณะที่การใช้พลาสติกและ FRPs ในรถยนต์ โดยเฉพาะ EV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาโซลูชันการรีไซเคิลที่ปรับขนาดได้จึงเป็น ความจำเป็นเร่งด่วน ไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกด้านความยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ข้อบังคับด้านกฎหมาย แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนผ่านสู่ EV กลายเป็นการแลกเปลี่ยนปัญหาสิ่งแวดล้อมหนึ่งไปเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
ที่มา : World economic forum







