แม่น้ำกกป่วย รุนแรงเพียงใดและใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย

แม่น้ำกกไม่ใช่แค่แม่น้ำธรรมดา แต่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของภาคเหนือไทย โดยเฉพาะเชียงราย ประชาชนในพื้นที่ต้องพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสายนี้ทั้งกิน ใช้ ทำเกษตรและประมงตลอดทั้งปี
ความรุนแรงของปัญหา
แต่ขณะนี้ปี ๒๕๖๘ คนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กกกำลังเจอวิกฤติหนัก เพราะมีโลหะหนักที่มาจากการทำเหมืองในเมียนมาโดยเฉพาะสารหนูมีค่าสูงถึง 0.015 ถึง 0.047 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินของกรมควบคุมมลพิษที่ 0.01 รวมทั้งมีค่าตะกั่วและแมงกานีสเกินมาตรฐานในบางครั้งด้วย
สารพิษพวกนี้แน่นอนหากบริโภคเข้าไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เกิดเป็นมะเร็งได้
ที่น่าตระหนกไปกว่านั้นคือโรงกรองประปาที่มีอยู่เป็นเทคโนโลยีแค่พื้นฐานที่เน้นกำจัดความขุ่น ทำให้น้ำใส น่าดื่มกิน รวมทั้งฆ่าเชื้อโรคเพื่อความปลอดภัย แต่ไม่สามารถกำจัดหรือกรองสารพิษหรือโลหะหนักที่มีอยู่ในน้ำนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนจึงเสี่ยงอันตรายจากการดื่มกินน้ำนั้น
ถ้าเกษตรกรนำน้ำในแม่น้ำนี้ไปใช้ในการกสิกรรม สารพิษและโลหะหนักพวกนั้นจะไปสะสมในต้น ใบ ดอก ผล ทำให้มีโอกาสที่ผลผลิตไม่ผ่านมาตรฐานอาหาร ที่นอกจากมีผลต่อสุขภาพแล้วยังมีผลต่อระบบเศรษฐกิจหากผลผลิตนั้นถูกระงับ ไม่ให้จำหน่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้สารพิษนี้ยังสามารถสะสมอยู่ในดินและซึมเข้าสู่ต้น ใบ ดอก ผลในปีถัดไปได้อีกด้วย ทำให้กลายเป็นปัญหาระยะยาว การแก้ปัญหาแบบครั้งคราวปีต่อปีจึงไม่ใช่คำตอบ
ในด้านการปศุสัตว์และการประมงทั้งแบบธรรมชาติและแบบเลี้ยง ก็ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำ จึงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับการกสิกรรม
ผลกระทบทั้งหมดเหล่านี้ เมื่อมีผลต่อรายได้ของชาวบ้านก็สามารถไปมีผลทางสังคมต่อไปได้ นับตั้งแต่ป่วยจนทำมาหากินไม่ได้ ราคาผลิตภัณฑ์ตก กำไรน้อยลง ไปจนถึงถูกสั่งห้ามจำหน่าย ฯลฯ ทำให้ครอบครัวคนด้อยโอกาสล่มสลายได้
นอกจากนี้ สารพิษเหล่านั้นจะไปสะสมตัวอยู่ในระบบนิเวศน้ำและนิเวศริมตลิ่ง ในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เป็นอาหารในวงจรชีวิตของสัตว์น้ำทุกชนิด
ปัจจุบันยังไม่มีวิทยาการใดๆ ที่จะบอกได้ว่าผลกระทบนั้นรุนแรงและอยู่ไปอีกนานเท่าใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่การปล่อยสารพิษนั้นยังมีอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดได้ในเร็ววัน
ใช่แต่คนในพื้นที่เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสารพิษกลุ่มนี้เป็นสารคงทน ไม่ย่อยสลายทางธรรมชาติได้ง่ายๆ จึงไม่อยู่เฉพาะในพื้นที่ แต่จะไหลไปกับมวลน้ำไปจนถึงปลายลุ่มน้ำได้ จำนวนคนที่ได้รับผลกระทบจึงมากกว่าที่รัฐคิดคำนวณไว้แต่เดิม
การทำ social, environmental และ economic impact study จึงต้องคิดทั้งกระบวนการ ตัวเลขที่ได้จึงจะตรงกับความเป็นจริง
ปัญหาข้ามพรมแดนเพราะแร่หายากที่มาจากเหมืองในเมียนมา
แร่หายากหรือแรร์เอิร์ธ (rare earth) เป็นแร่ที่ชื่อก็บอกแล้วว่าหายาก เมื่อหายากราคาก็ต้องสูงเป็นธรรมดา แถมแร่กลุ่มนี้ยังเป็นวัตถุดิบสำคัญมากแบบขาดไม่ได้ ในการใช้ทำทุกอย่างในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รถไฟฟ้า ไปจนถึงแบตเตอรีและดาต้าเซ็นเตอร์
ความต้องการและราคาจึงพุ่งสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อมีความต้องการจากจีน
ปัจจุบันบริษัทจีนจึงไปทำเหมืองในรัฐฉานของเมียนมา ทว่า ด้วยขาดมาตรการในการควบคุมดูแลจากภาครัฐ ตลอดจนมีภาวะความไม่สงบในพื้นที่ที่ทำให้การจัดการทำได้ไม่เต็มที่
บริษัทจีนดังกล่าวจึงได้เปิดเหมืองโดยไม่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อม ของเสียจากการขุดดินทำเหมืองและสกัดแร่พวกนี้ เช่น สารหนู ตะกั่ว แมกนีเซียม จึงถูกระบายโดยไม่มีการบำบัดอย่างถูกวิธี ลงแม่น้ำสาขา ที่สุดท้ายแล้วก็ไหลมาถึงแม่น้ำกกในไทย
ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนเช่นว่านี้จึงเป็นสิ่งที่ไทยต้องใส่ใจและหามาตรการแก้ไขอย่างถาวรและรีบด่วน
แล้วไทยเราจะทำอย่างไรดี
ปัญหานี้จริงๆ มีมานานแล้ว มีมาตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีการทำเหมืองก่อนปี พ.ศ. ๒๕๖๖ เพียงแต่สารมลพิษพวกนี้เป็นโลหะหนักที่ไม่เน่าเหม็นให้ได้กลิ่น ดูด้วยตาเปล่าก็ไม่เห็น จึงไม่มีใครตระหนักรู้กันถึงปัญหานี้
จนมาในปี ๒๕๖๗ ตะกอนดินจากการเปิดหน้าดินทำเหมืองไหลทะลักมาพร้อมกับน้ำป่า ทำให้น้ำขุ่นและมีขี้เลนมาก่อปัญหาให้ชาวบ้านจนเกิดการร้องเรียนประท้วง
ยังผลให้ต้นปี ๒๕๖๘ กรมควบคุมมลพิษได้ลงพื้นที่ตรวจวัดและพบสารหนูเกินมาตรฐานแหล่งน้ำไปหลายเท่าในบางเดือนที่บางจุดในแม่น้ำกก
ปัญหานึ้ถ้าเป็นปัญหาทางเทคนิคอย่างเดียวทางแก้ก็ไม่ยากนัก เช่น หากโรงกรองประปาไม่สามารถกำจัดโลหะหนักในน้ำจากแม่น้ำได้ ก็เพียงเพิ่มเครื่องมืออุปกรณ์ที่สามารถทำหน้าที่นั้นได้
เช่น กระบวนการออสโมสิสย้อนกลับ (reverse osmosis) เพียงแต่ต้องมีงบทั้งงบลงทุนและงบดำเนินการตลอดไป ซึ่งไม่ใช่น้อย และใครจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนั้น ไทย หรือเมียนมาหรือจีน
แต่ถ้าเป็นปัญหาที่ทางวิชาการเรียกว่าต้นกำเนิดที่ไร้ต้นตอ (non-point source) หรือเป็นภาวะมลพิษแบบแพร่ (diffuse pollution)
การแก้ปัญหามีได้รูปแบบเดียวคือต้องฟื้นฟูระบบนิเวศ ทั้งในน้ำ ในดิน ในตะกอนท้องน้ำ ที่กระจายไปได้ถึงที่ที่น้ำไหลไปถึง ไม่จำเพาะตรงที่ริมตลิ่งเท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการทั้งวิศวกรรมศาสตร์ สังคมศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ที่ยากมากและใช้เวลานานมาก ซึ่งเรารอไม่ได้
การแก้ปัญหาแบบฟื้นฟูนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทาง ที่แพงและทำได้ยากรวมทั้งนานด้วย โดยเฉพาะหากไทยต้องการใช้หลักใครทำเลอะคนนั้นล้าง หรือ Polluter Pays Principle, PPP โดยให้เมียนมาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
วิธีการที่ถูกต้องตามหลักการจัดการมลพิษที่ดี จึงต้องไปแก้ที่ต้นทาง คือ ที่เหมืองและโรงถลุงในเมียนมา
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เมื่อปัญหาไม่ได้เกิดจากไทยที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบแต่ฝ่ายเดียว แต่มาจากเหมืองแร่หายากของเมียนมาและจีน ทางออกจึงต้องเป็น “การร่วมมือข้ามพรมแดน” เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นทางที่เหมืองในเมียนมา อันมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าและยุ่งยากน้อยกว่าการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ปลายทางในไทย
และรัฐบาลไทยต้องขับเคลื่อนเชิงนโยบายแบบจัดเต็ม โดยคุยกับทั้งรัฐบาลเมียนมาและจีนให้ลงตัวให้ได้
ผู้เขียนมีข้อเสนอในรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. สำรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง
หน่วยงานรัฐทั้งกรมควบคุมมลพิษ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ ฯลฯ ต้องรวมทีมลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นเอกสารข้อมูลทางการในการดำเนินการหามาตรการแก้ไขต่อไป หากพบว่าปัญหามิได้รุนแรงอย่างที่เคยเป็นมาก็จะได้คิดใหม่ทำใหม่ให้ตรงกับสภาพการณ์
2. ตั้งทีมไทย–เมียนมา–จีน ร่วมดูแลมลพิษและสิ่งแวดล้อม
- เร่งสร้างและเดินระบบกำจัดสารพิษโลหะหนักและบำบัดน้ำเสียอย่างถูกต้องตามหลักวิชาทางวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ที่เหมืองซึ่งมีมากกว่าหนึ่งแห่ง โดยรัฐไทยสามารถจัดหาผู้เชี่ยวชาญให้เมียนมาได้หากจำเป็น
- ตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย เมียนมาไทย จีน ทำหน้าที่ติดตามการทำงานของระบบกำจัดสารพิษและบำบัดน้ำเสียข้างต้นนั้นให้มีทั้งประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
- ตั้งกรรมการอีกชุดร่วมติดตามผลกระทบสะสมต่อระบบนิเวศ ดิน น้ำ สิ่งมีชีวิตในน้ำ และการดำรงชีวิต ตลอดจนการประกอบอาชีพของคนไทยท้ายน้ำ รวมทั้งประเมินค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูหากต้องมี
- ร่วมกันกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
- ประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งสิ้น และเจรจาหาผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเมียนมาหรือบริษัทจีนที่ทำเหมือง หรือประเทศจีนเอง
- ผลักดันให้ประเทศจีนร่วมลงทุนกับเมียนมาฟื้นฟูพื้นที่ที่เสียหายตลอดลำน้ำ ตามหลักการสากลว่าด้วย Polluter Pays Principle
3. ใช้เวทีอาเซียนและ GMS ให้เป็นประโยชน์
- อาเซียนและ GMS หรือ Greater Mekong Subregion มีหน้าที่ในการแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่รวมจีนอยู่ด้วย จึงมีภารกิจโดยตรงในการแก้ปัญหานี้
- เสนอแคมเปญ “Zero Toxic Waste in Transboundary Rivers by 2030”
- ผลักดันให้มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกันในแม่น้ำสายหลัก อย่างน้อยก็ในพื้นที่เร่งด่วนนี้
4. ใช้กฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือในการจัดการ
-หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทั้งสองประเทศนั้น รัฐบาลไทยต้องอ้างหลัก “No Harm Principle” ดำเนินการผ่านศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC, International Criminal Court หรือใช้กลไกอนุญาโตตุลาการ ในการแก้ปัญหา
- ใช้อนุสัญญาสากล เช่น Convention on Biodiversity, CBD หรือกรอบของ ESCAP มาเป็นหลักตั้งต้น
- ประสานกับองค์กรใหญ่ เช่น UNEP, World Bank, ADB เพื่อชี้ให้เห็นปัญหาข้ามพรมแดนนี้ และเสนอให้ใช้กรณีเป็นบทเรียนในวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนสำหรับใช้ในเหตุการณ์ครั้งต่อๆไปซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะที่ไทย-เมียนมา
5. ใช้พลังโซเชียลและสื่อ สร้างแรงกดดัน
มาตรการที่เอ่ยถึงข้างต้นทั้ง 4 ประการไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้น จึงต้องสร้างแรงกดดันทางสังคม (social pressure) ในระดับนานาชาติ ด้วยการ…
- สร้างแคมเปญออนไลน์ เช่น #SaveKokRiver หรือ #ToxicRareEarth
- ร่วมมือกับสื่อและผู้ที่มีความรู้และเป็นห่วงในสถานการณ์ ทำสารคดีชี้ให้เห็นความรุนแรงของปัญหา และเสนอข้อเสนอแนะให้ภาครัฐรับไปดำเนินการ
6. ไทยลงทุนแก้ปัญหาที่ต้นทางให้ก่อน
การแก้ปัญหาด้วย 5 มาตรการขั้นต้นนั้นใช้เวลานาน แต่ประชาชนไทยต้องเผชิญปัญหาอยู่ทุกวัน รอไม่ได้
รัฐบาลไทยจึงควรพิจารณาทางเลือกเร่งด่วน ไปลงทุนสร้างและเดินระบบจัดการมลพิษที่เหมืองต้นทางให้เมียนมาก่อน ซึ่งต้องขอย้ำว่ามีราคาถูกกว่าการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากระบบนิเวศยังต้องรับมลพิษทุกวัน ตราบที่การแก้ปัญหาที่เหมืองต้นทางยังไม่เกิดขึ้น
โดยต้องใช้การเจรจาทางการทูตและแรงกดดันทางสังคม ให้ทั้งเมียนมาและจีนยอมรับในข้อเสนอนี้ แล้วผ่อนชำระให้ไทยไปจนกว่าจะชำระได้หมด
ส่วนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมนั่นเร่งด่วนไม่เท่ากับการกำจัดสารพิษที่ต้นทาง จึงสามารถทะยอยทำตามเป็นคู่ขนานกันไปได้
บทสรุป: จากมลพิษแม่น้ำกก สู่เวทีการทูตสิ่งแวดล้อม
แม่น้ำกกกำลังส่งสัญญาณเตือนว่า “ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่รู้จักพรมแดน” ไทยไม่ควรเป็นแค่ผู้เฝ้าดู แต่ต้องลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ ทั้งในเวทีการทูต กฎหมาย และพลังสังคม เพื่อยืนยันว่าแม่น้ำของเราปลอดสารพิษได้ถ้าเราผลักดันให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทางได้จริง







