บราซิลเปิด 'โรงเพาะยุง' ใหญ่สุดในโลก สู้ไข้เลือดออก ช่วยชีวิต 140 ล้านคน

บราซิลเปิด 'โรงเพาะยุง' ใหญ่สุดในโลก สู้ไข้เลือดออก ช่วยชีวิต 140 ล้านคน

บราซิลเปิดโรงงานชีวภาพเพาะพันธุ์ยุงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อต่อสู้กับโรคไข้เลือดออก โดยมีเป้าหมายปกป้องประชากรราว 140 ล้านคน

KEY

POINTS

  • บราซิลเปิดโรงงานชีวภาพเพาะพันธุ์ยุงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อต่อสู้กับโรคไข้เลือดออก โดยมีเป้าหมายปกป้องประชากรราว 140 ล้านคน
  • โรงงานใช้วิธี "วูลบัคเคีย" โดยเพาะยุงลายที่ติดเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้ยุงไม่สามารถแพร่เชื้อไข้เลือดออก ซิกา และชิคุนกุนยาได้
  • เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดยุง โดยแบคทีเรียจะถูกส่งต่อไปยังยุงรุ่นต่อไปเมื่อมีการผสมพันธุ์ในธรรมชาติ

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศและโรคระบาดที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น บราซิลได้นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนผ่านการเปิดตัวโรงงานชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อต่อสู้กับ "ไข้เลือดออก" โดยใช้กลไกธรรมชาติแทนสารเคมี

โรงงานโวลบิโตแห่งบราซิล ซึ่งเปิดดำเนินการเมื่อ 19 กรกฎาคม 2025 ในเมืองกูรีชีบา เป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมีเป้าหมายปกป้องประชาชนบราซิลประมาณ 140 ล้านคนจากไข้เลือดออกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

แนวทางธรรมชาติแทนสารเคมี

โรงงานแห่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างโครงการยุงโลก, มูลนิธิออสวัลโด ครูซ, และสถาบันชีววิทยาโมเลกุลแห่งปารานา ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขบราซิล สามารถผลิตไข่ยุงได้ 100 ล้านฟองต่อสัปดาห์

ลูเซียโน โมเรรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เปิดเผยว่า โรงงานโวลบิโตแห่งบราซิล จะสามารถปกป้องประชาชนในบราซิลประมาณ 7 ล้านคนทุกๆ หกเดือน แทนที่จะพึ่งพาสารเคมีกำจัดยุงที่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ โรงงานนี้ใช้วิธีการที่เรียกว่า “วิธีวูลบัคเคีย” โดยเพาะพันธุ์ยุงลายบ้านที่มีแบคทีเรียวูลบัคเคียตามธรรมชาติ ซึ่งป้องกันไม่ให้ยุงแพร่เชื้อไข้เลือดออก ไวรัสซิกา และไข้ชิคุนกุนยา

กลไกธรรมชาติที่ยั่งยืนและปลอดภัย

อันโตนิโอ บรันเดา ผู้จัดการฝ่ายผลิตของโวลบิโตแห่งบราซิล อธิบายว่า วิธีวูลบัคเคียมีชีวิตอยู่ได้เฉพาะภายในเซลล์แมลงเท่านั้น ดังนั้นหากแมลงตาย แบคทีเรียก็จะตายด้วย

“วูลบัคเคียมีอยู่ในแมลงมากกว่าร้อยละ 60 ในธรรมชาติ และมาหลายศตวรรษแล้วที่เราไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายกับมนุษย์”

จุดเด่นของวิธีการนี้คือความยั่งยืนในระยะยาว เมื่อยุงที่ติดเชื้อวูลบัคเคียไปผสมพันธุ์กับยุงในธรรมชาติ แบคทีเรียจะถูกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องปล่อยยุงซ้ำอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานในระยะยาว

ผลลัพธ์ที่พิสูจน์แล้ว 10 ปี

ทามิลา ไคลเน ผู้ประสานงานปฏิบัติการระดับภูมิภาคของโวลบิโตแห่งบราซิล กล่าวว่า วิธีการนี้ได้รับการทดสอบมาตั้งแต่ปี 2014 และได้ปกป้องผู้คนมากกว่า 5 ล้านคนในแปดเมืองของบราซิลแล้ว โดยไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศ

“การเลือกพื้นที่ปฏิบัติการก็คำนึงถึงความเป็นธรรม พื้นที่ที่เลือกภายในเทศบาลจะอิงตามจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออก ดังนั้น ย่านที่มีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดจึงเป็นย่านที่ได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรก”

ตอบโจทย์วิกฤติสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ไข้เลือดออกหรือ “โรคไข้กระดูกหัก” ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 6,297 รายในบราซิลเพียงในปีเดียว ปี 2024 ซึ่งนี่ถือเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

แนวทางของโรงงานโวลบิโตแห่งบราซิลไม่เพียงแก้ปัญหาสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยใช้กระบวนการทางชีววิทยาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว

การปฏิบัติการที่มุ่งเป้าและมีประสิทธิภาพ

เมื่อโรงงานโวลบิโตแห่งบราซิลเดินหน้าเต็มรูปแบบ รถยนต์ที่บรรทุกยุงที่ติดเชื้อจะขับผ่านจุดที่มีการระบาดของไข้เลือดออกและปล่อยแมลงเหล่านี้ด้วยการกดปุ่ม การปฏิบัติการที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพนี้ช่วยให้สามารถครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางได้อย่างรวดเร็ว

ความสำเร็จของบราซิลแสดงให้เห็นว่าการรับมือกับวิกฤตสุขภาพสามารถทำได้อย่างเป็นมิตรต่อโลก และเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ หันมาใช้แนวทางที่ยั่งยืนแทนการพึ่งพาสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในโลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโรคระบาดที่เพิ่มขึ้น นวัตกรรมเช่นนี้ไม่ใช่แค่ความหวัง แต่คือคำตอบที่แท้จริงสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของมนุษยชาติ​​

 

ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ

 

ที่มา : Rueters, Wolbito