รีไซเคิลกระป๋องได้ 100% | ผู้นำยุคสุดท้าย

รีไซเคิลกระป๋องได้ 100% | ผู้นำยุคสุดท้าย

 ผลสำเร็จของความร่วมมือในโครงการ “การส่งเสริมการผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่สามารถรีไซเคิลได้ในประเทศไทย” ปรากฏผลที่ชัดเจนแล้วว่า “บ้านเรารีไซเคิลกระป๋องได้ 100%” 

ความร่วมมือในโครงการนี้เริ่มในปี 2563 กรอบระยะเวลา 5 ปี ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, กรมควบคุมมลพิษ) และหน่วยงานต่างๆ

ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล, มูลนิธิ 3R, สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย, บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด, บริษัท ยูเอซีเจ (ประเทศไทย) จำกัดและบริษัท แองโกล เอเซีย เทรดดิ้ง จำกัด

โครงการนี้บรรลุผลสำเร็จตาม “เป้าหมายหลัก 3 ประการ” ดังนี้

เป้าหมายที่ 1 การพัฒนาฐานข้อมูลอัตราการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศไทย 

มีการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ หรือ LCA 4 บรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก PET กล่องเครื่องดื่มและกระป๋องอะลูมิเนียม โดยมีส่วนร่วมสำคัญต่องานวิจัยร่วมกับ บพข. และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรม เรื่องการวิเคราะห์การไหลของวัสดุ หรือ MFA และการศึกษาห่วงโซ่คุณค่า หรือ VCA 

ข้อมูลเหล่านี้ได้นำไปใช้ประกอบการร่างกฎหมายบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน หรือ EPR (Extended Producer Responsibility) และเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการกำหนดทิศทางการจัดการบรรจุภัณฑ์ของประเทศไทยในอนาคต

เป้าหมายที่ 2 การเพิ่มอัตราการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศไทย บนพื้นที่นำร่องที่มีความท้าทายในการจัดการ (sensitive area)

โมเดลจัดการขยะที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เป็นพัฒนาการในการจัดการขยะครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การทดลอง เปลี่ยนนำเข้าบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีราคา วัสดุใช้แล้วคุ้มทุนค่าขนส่งกลับเข้าฝั่ง ไม่เป็นภาระทิ้งค้างบนเกาะนาน เช่น กระป๋องอะลูมิเนียมทดแทนบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มบางประเภท

โดยสามารถลดปริมาณขยะบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มตกค้างจาก 92 ตันต่อเดือน เหลือเพียง 25 ตันต่อเดือน หรือลดลงกว่า 70% คิดเป็นการลดการก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 34%

ในส่วนของการจัดการกลางน้ำและปลายน้ำ องค์กร WWF, GIZ และ มูลนิธิ 3R ได้จัดทำโครงสร้างการดำเนินงานแยกขยะร่วมกับเทศบาล และการใช้ข้อมูลการนำเข้าและนำออกจากเกาะของบรรจุภัณฑ์ เพื่อการกำหนดค่าขนส่งส่วนเพิ่ม หรือ EPR Fee ในพื้นที่ท้าทายประเภทนี้

อีกทั้งยังสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และมุมมองใหม่ของการอยู่อาศัย การท่องเที่ยวและยกระดับมาตรฐานสังคมที่สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

ป้าหมายที่ 3 การพัฒนา การผลิตวงจรรีไซเคิลแบบปิดของกระป๋องอะลูมิเนียมในประเทศไทย (Aluminium Loop Model)

การก่อตั้ง “Aluminium Loop” ในปี 2564  ได้แสดงจุดยืนในการเป็นผู้ริเริ่มสร้างระบบรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม อะลูมิเนียมแบบวงจรปิด หรือ Closed Loop Recycling program ซึ่งถือเป็น “ผู้นำรายแรกใน South East Asia” โดยเป็น 1 ใน 4 ประเทศในเอเชียที่มีโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจร

โดยร่วมมือกับแบรนด์เครื่องดื่มที่ใช้กระป๋องอะลูมิเนียม ด้วยการเก็บกลับจากจำนวนสั่งซื้อ เพื่อเข้าระบบรีไซเคิลและวนกลับมาผลิตเป็นกระป๋องได้จริง พร้อมติดตราสัญลักษณ์ Aluminium Loop บนกระป๋อง เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบการดำเนินงานนี้

ตั้งแต่เริ่มโครงการนี้เป็นต้นมา สามารถเก็บกลับกระป๋องอะลูมิเนียมใช้แล้วเข้าสู่ระบบรีไซเคิลวงจรปิดได้แล้วกว่า 1,500 ล้านกระป๋อง หรือมากกว่า 22,000 ตัน และในปีที่ 4 ต่อไปนี้ ได้ตั้งเป้าหมายเก็บกลับกระป๋องเพิ่มขึ้นอีก 9,000 ตัน หรือมากกว่า 600 ล้านกระป๋อง

โครงการนี้ได้ช่วยยืนยันถึงอัตราการเก็บกระป๋องอะลูมิเนียมกลับมารีไซเคิลได้ 100% โดยมีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใส พร้อมกันนี้ยังส่งผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม คือ ลดการใช้พลังงานในการผลิตได้ถึง 95% จากการใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลเมื่อเทียบกับการใช้แร่อะลูมิเนียมใหม่

โดยสร้างคุณค่าผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมด้วย เช่น โครงการ “Recycle for Life” เพื่อสนับสนุนมูลนิธิขาเทียมฯ ในการจัดทำขาเทียมให้แก่ผู้พิการกว่า 100 ขา สามารถระดมทุนได้มากถึง 2,200,000 บาท เป็นต้น

โครงการนี้จึงแสดงถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันวงการผลิตบรรจุภัณฑ์ให้ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ด้วยหลักการของ Recycle ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน

ความร่วมมือและผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของโครงการนี้ ทำให้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทยสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศไทยสามารถยกระดับการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้จริง ทั้งในเชิงนโยบายและภาคการปฏิบัติ (โดยสามารถรีไซเคิลกระป๋องอะลูมิเนียมได้ 100%) ซึ่งนำไปสู่การลดขยะ การลดคาร์บอนและการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่จับต้องได้ พร้อมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ความสำเร็จของโครงการเกิดขึ้นได้ เพราะการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน คือ ภาครัฐราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และชุมชน ซึ่งเป็น “พลังร่วมกัน” ที่ทำให้เป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่ความฝันอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่สามารถส่งต่อ “คุณค่า” ให้คนรุ่นต่อไปได้

โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่ง “บทพิสูจน์” ที่แสดงถึงก้าวย่างที่สำคัญของบ้านเราบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน ครับผม !