'ไทยร่นเป้า Net Zero' สู่ปี 2593 ทุ่ม 2.9 ล้านล้านปฏิวัติพลังงาน ดัน RE เกิน 50%

แผนพลังงานแห่งชาติ (NEP) ประกาศเร่งเครื่องสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 พร้อมอัดฉีดเงินลงทุนมหาศาลเพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (RE) ในการผลิตไฟฟ้าให้เกิน 50% ส่งเสริม EV ภายใต้มาตรการ "30@30"
KEY
POINTS
- รัฐบาลปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2593 จากเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2608
- ทุ่มงบประมาณลงทุน 2.9 ล้านล้านบาท ภายในปี 2580 เพื่อปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศครั้งใหญ่
- ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy - RE) ให้มากกว่า 50% ภายในปี 2580 โดยมีพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก
- ขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า (EV) "30@30" โดยตั้งเป้าให้การผลิตรถยนต์ไร้มลพิษมีสัดส่วนอย่างน้อย 30% ภายในปี 2573
กระทรวงพลังงานประกาศแผนยุทธศาสตร์พลิกโฉมประเทศด้วย "แผนพลังงานแห่งชาติ" (NEP) ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งเป็นแผนแม่บทที่รวมเอาแผนย่อยทั้ง 5 ด้านเข้าด้วยกัน มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 โดยเร็วขึ้น
จากเดิมที่เคยตั้งไว้ในปี 2608 พร้อมอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลกว่า 2.9 ล้านล้านบาท ภายในปี 2580 เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่มหาอำนาจพลังงานสะอาด
วัชรินทร์ บุญฤทธิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนพลังงาน กล่าวในงาน Thailand-Japan Green Energy Business Forum จัดโดย เจโทร ว่า วิสัยทัศน์หลักของแผน NEP ล่าสุดคือ การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในระยะเวลาที่เร่งรัดขึ้น โดยตั้งอยู่บนสมดุลของหลักการสำคัญ 3 อย่าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ, สวัสดิภาพของสังคม, และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานอย่างถึงราก ซึ่งรัฐบาลได้วางแผนลงทุนรวมประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท ภายในปี 2580 เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
1. ปฏิวัติภาคการผลิตไฟฟ้า RE ทะลุ 50% ด้วย PDP 2568
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan - PDP 2568) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ NEP กำหนดทิศทางการผลิตไฟฟ้าที่ชัดเจน โดย
- เพิ่มสัดส่วน RE: ตั้งเป้าให้สัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy - RE) ในระบบการผลิตไฟฟ้า มากกว่า 50% ภายในปี 2580 ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) เป็นหลัก
- โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต: การเพิ่ม RE ในปริมาณมากต้องอาศัยเทคโนโลยีเสริมความมั่นคงใหม่ๆ ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems - ESS) เพื่อจัดการความไม่เสถียรของพลังงานหมุนเวียน และการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น การผสม ไฮโดรเจน 5% เข้ากับก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป
- ทางเลือกใหม่สู่ความมั่นคง: ร่าง PDP 2568 ยังได้พิจารณาทางเลือกด้านความมั่นคงใหม่ๆ เช่น การใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (Small Modular Reactors - SMRs) กำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นทางเลือกเสริมความมั่นคง และลดต้นทุนในระยะยาว
2. การเปลี่ยนผ่านภาคขนส่ง และประสิทธิภาพพลังงาน (EV & EE)
การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคขนส่งถือเป็นกุญแจสำคัญ
- นโยบาย "30@30": แผน Alternative Energy Development Plan (AEDP) และ Energy Efficiency Plan (EEP) ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย "30@30" โดยมีเป้าหมายให้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV) มีสัดส่วน อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573
- เม็ดเงินสนับสนุน : รัฐบาลใช้มาตรการจูงใจทางการเงิน เช่น EV 3.5 (ปี 2568–2570) ในรูปแบบเงินอุดหนุน และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อกระตุ้นตลาดทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
- โครงข่ายชาร์จไฟ : มีการเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จให้มีจำนวนหัวชาร์จแบบ DC สะสมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรองรับจำนวนรถยนต์ BEV ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
- ลดความเข้มข้นพลังงาน : แผน EEP 2568 ตั้งเป้าลดความเข้มข้นของการใช้พลังงาน (Energy Intensity) ลง มากกว่า 30% เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกภาคส่วน
3. กรอบยุทธศาสตร์ 4D1E ปรับโครงสร้างเพื่อความยืดหยุ่น
เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และการจัดการที่ซับซ้อน รัฐบาลใช้กรอบยุทธศาสตร์ "4D1E" เป็นแกนหลักในการปฏิรูป
- Digitalization : การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้เป็น Smart Grid เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นของระบบ
- Decarbonization : การลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการเปลี่ยนเชื้อเพลิงหลักจากฟอสซิลเป็น RE รวมถึงการเตรียมการสำหรับกลไก Carbon Pricing และเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage)
- Electrification : การส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคส่วนอื่นๆ เช่น การขนส่ง และอุตสาหกรรม
- Decentralization : การกระจายศูนย์การผลิตไฟฟ้าไปยังผู้ใช้รายย่อย เช่น การส่งเสริม Solar Rooftop ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ 'ผู้ใช้เป็นผู้ผลิตได้'
- De-regulation : การปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความยืดหยุ่น และทันสมัย เพื่อเอื้อต่อการลงทุน และนวัตกรรมใหม่ๆ
4. กลไกตลาดใหม่ เปิดทางให้ภาคเอกชนนำทัพสีเขียว
รัฐบาลตระหนักว่าการบรรลุเป้าหมายต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน จึงได้ริเริ่มกลไกตลาดที่สำคัญ
- Direct PPA (Direct Power Purchase Agreement): เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจาก RE สามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ใช้ไฟภาคเอกชนได้โดยตรงผ่านบริการ Third Party Access (TPA) โดยมีโครงการนำร่องที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มธุรกิจที่มีความต้องการพลังงานสะอาดสูง เช่น Data Center
- Utility Green Tariff (UGT) : เสนออัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวพร้อมใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีทางเลือกที่สามารถระบุแหล่งที่มาของพลังงานสะอาดได้ (UGT 2)
อนาคตไฮโดรเจน การวางแผนเชิงกลยุทธ์
ประเทศไทยวางยุทธศาสตร์ระยะยาวในการใช้ ไฮโดรเจน และแอมโมเนีย เป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำคัญ โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะเริ่มใช้เชิงพาณิชย์ภายในปี 2573 (ระยะเตรียมความพร้อม) และเข้าสู่ระยะเติบโตเต็มที่ (Growth Phase) ภายในปี 2584 - 2593 ซึ่งจะเป็นทางเลือกที่สำคัญอย่างยิ่งในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในที่สุด
แผนพลังงานแห่งชาติของไทยไม่ได้เป็นเพียงการปรับเป้าหมาย แต่คือ การปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการแผนย่อยทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้ง PDP, AEDP, EEP, Gas Plan, และ Oil Plan เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน, เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติสู่ยุคคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







