เมื่อธุรกิจไม่ใช่แค่ขายของ 'ยูนิลีเวอร์' เดินหน้าสู่ Net Zero 2039 ทุกสโคป

ยูนิลีเวอร์ ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2582 ปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์พลาสติกของยูนิลีเวอร์ 57% สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
KEY
POINTS
- ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2582
- ปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์พลาสติกของยูนิลีเวอร์ 57% สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต (Scope 1 และ 2) ได้แล้ว 72% เมื่อเทียบกับปี 2558
- ตั้งเป้าหมายลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ลง 40% ภายในปี 2571 และเพิ่มสัดส่วนพลาสติกรีไซเคิล (PCR) เป็น 25% ภายในปี 2568
ในยุคที่ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นพันธกิจหลักขององค์กรระดับโลก ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างเป็นรูปธรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2582 (ค.ศ. 2039) ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการพลาสติกอย่างยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคและพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทาน
ยูนิลีเวอร์สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 ได้แล้วถึง 72% เมื่อเทียบกับปีฐาน พ.ศ. 2558 โดยอาศัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดการพลาสติก การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การจัดการพลังงาน ไปจนถึงการติดตามผลอย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายถัดไปคือการลดการปล่อยก๊าซใน Scope 1 และ 2 ให้ได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2573 และลด Scope 3 ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมของซัพพลายเออร์และผู้บริโภค ให้ได้ 42% ภายในปีเดียวกัน
ขับเคลื่อนซัพพลายเออร์สู่ Climate Leadership
“ณัฏฐิณี เนตรอำไพ” ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กร องค์กรสัมพันธ์ และความยั่งยืน กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวกับ กรุงเทพธุรกิจ ว่า Scope 3 คือความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตรทั่วห่วงโซ่อุปทาน จึงได้พัฒนา “Supplier Climate Programme” เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของซัพพลายเออร์ในการวัด รายงาน และลดรอยเท้าคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ (PCF)
“เราได้จัดทำโปรแกรม Supplier Climate Programme เพื่อช่วยซัพพลายเออร์วัดและลดรอยเท้าคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ รวมถึงเปิดโอกาสให้ซัพพลายเออร์ที่ผ่านเกณฑ์ความเป็นผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ ลงนามในข้อตกลง Unilever Climate Promise ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่มีกรอบเวลาและเป้าหมายชัดเจน เราติดตามความคืบหน้าอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีผลจริงต่อสิ่งแวดล้อม”
นอกจากนี้ ยูนิลีเวอร์ยังดำเนินโครงการ Regenerative Agriculture หรือ “เกษตรกรรมฟื้นฟู” เพื่อส่งเสริมเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทานให้ใช้แนวทางการผลิตที่ฟื้นฟูดิน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีผ่านการฝึกอบรม เพื่อยกระดับศักยภาพให้ปรับตัวสู่เกษตรกรรมยั่งยืนอย่างแท้จริง
ตั้งเป้าลด Virgin Plastic 40% ในปี 2571
ในด้านการจัดการพลาสติก ยูนิลีเวอร์ ตั้งเป้า ดังนี้
- เพิ่มสัดส่วนการใช้พลาสติกรีไซเคิล (PCR) ในบรรจุภัณฑ์ให้ได้ 25% ภายในปี 2568
- ลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ลง 30% ภายในปี 2569 และ 40% ภายในปี 2571 (เทียบกับปีฐาน 2562)
- ทำให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแข็งทั้งหมด สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ภายในปี 2573
- ขยายเป้าหมายไปถึง บรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่น ภายในปี 2578
“เรามองว่าความยั่งยืนคือการลงทุนระยะยาวที่สร้างคุณค่าให้ทั้งธุรกิจและสังคม ยูนิลีเวอร์ใช้เทคโนโลยีอย่าง Digital Twin เพื่อจำลองกระบวนการผลิต ช่วยลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มคุณภาพโดยไม่ต้องใช้การทดลองจริง ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ณัฏฐิณี กล่าว
57% เป็นบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ก้าวสำคัญเศรษฐกิจหมุนเวียน
"ณัฏฐิณี" กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน 57% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกของยูนิลีเวอร์ทั่วโลกสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสำคัญบนเส้นทางสู่เป้าหมายระยะยาว
“แม้จะมีความท้าทายด้านการขนส่งและการเก็บรักษา แต่ยูนิลีเวอร์ได้ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) หาเทคโนโลยีเพื่อรักษาประสิทธิภาพของบรรจุภัณฑ์ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ระบบ Digital Twin เพื่อจำลองการผลิตและออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องทดลองจริง พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บและการรีไซเคิลในระดับท้องถิ่น"
เปลี่ยนพฤติกรรมโดยไม่ลดประสบการณ์
ยูนิลีเวอร์เชื่อว่าผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการลด Scope 3 จึงได้พัฒนาโครงการ “Bright Future” ซึ่งต่อยอดจาก “Clean Future” ที่ริเริ่มในปี พ.ศ. 2562 เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ความยั่งยืนโดยไม่ลดทอนประสบการณ์การใช้งาน
กลยุทธ์หลัก “Less – Better – No”
- Less: ลดการใช้พลาสติกใหม่ ผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุน้อยลง
- Better: ปรับปรุงคุณภาพบรรจุภัณฑ์ให้รีไซเคิลง่ายขึ้น และเพิ่มการใช้พลาสติกรีไซเคิลให้ถึง 25% ภายในปี 2025
- No: พัฒนาทางเลือกใหม่ที่ปราศจากพลาสติก เช่น บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ และระบบเติม (Refill Station)
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ต้นแบบคือ ซันไลต์ Rhamno Clean ที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ย่อยสลายได้ และช่วยลด CO₂ ในกระบวนการผลิต โดยยังคงประสิทธิภาพการทำความสะอาดสูง
โปร่งใส ไม่ Greenwashing
ยูนิลีเวอร์ให้ความสำคัญกับการสื่อสารอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเป็น “Greenwashing” โดยใช้ข้อมูลที่วัดผลได้และการตรวจสอบจากบุคคลที่สามเป็นหลักฐานยืนยันความก้าวหน้า
ตัวอย่างเช่น การรายงานความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 ได้แล้ว 72% และการที่ 57% ของบรรจุภัณฑ์สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
“ณัฏฐิณี” กล่าวว่า ยูนิลีเวอร์ยังมุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และตรงไปตรงมาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และความคืบหน้าด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างความเข้าใจที่แท้จริงและเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมผ่านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“เรานำเสนอข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ไม่เกินจริง เพื่อสร้างความเข้าใจที่แท้จริงให้ผู้บริโภคเห็นว่าการเลือกผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์คือการมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม”
โรงงานต้นแบบ ฉะเชิงเทราใช้พลังงานหมุนเวียน 100%
“ณัฏฐิณี” กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนความมุ่งมั่นของยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย คือโรงงานเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งได้รับการรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ผ่านการติดตั้ง Biomass Boiler และ Solar Roof พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยี Digital Twin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดของเสีย และลดต้นทุนโดยไม่ต้องทดลองจริง
“ธุรกิจที่ดี และโลกที่ดี สามารถเดินไปด้วยกันได้ ด้วยการผสานเทคโนโลยี ความร่วมมือ และความโปร่งใสเข้ากับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแน่วแน่ เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2582 จึงไม่ใช่เพียงคำมั่นสัญญา แต่คือเส้นทางที่ยูนิลีเวอร์กำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”







