13 ต.ค. วันลดภัยพิบัติสากล โลกร้อนจุดชนวนภัยธรรมชาติ คร่าชีวิต-สูญเศรษฐกิจ

ในปี 2024 ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมมูลค่า 3.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภัยพิบัติในปี 2024 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวมประมาณ 18,100 ราย โดยคลื่นความร้อนเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด
KEY
POINTS
- วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปีคือ "วันลดภัยพิบัติสากล" ที่กำหนดโดยสหประชาชาติ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ
- ในปี 2024 ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมมูลค่า 3.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ภัยพิบัติในปี 2024 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวมประมาณ 18,100 ราย โดยคลื่นความร้อนเป็นสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด
- มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติสูงเกิน 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดต่อกันเป็นปีที่เก้าแล้ว
ทุกวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) กำหนดให้เป็น "วันลดภัยพิบัติสากล" (International Day for Disaster Risk Reduction) เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ท่ามกลางสถานการณ์ภัยพิบัติที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วันลดภัยพิบัติสากล เน้นย้ำความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า พายุ และภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนจำนวนมากทั่วโลก
เราทุกคนเป็นหนี้คนรุ่นต่อไป
"อันโตนิโอ กูเตร์เรส" เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ กล่าวว่า เราเป็นหนี้คนรุ่นต่อไปที่จะต้องสร้างวันพรุ่งนี้ที่ปลอดภัยและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
“เมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น มันปล่อยความหายนะอันมหาศาลต่อบุคคล สังคม และเศรษฐกิจ ผลกระทบที่ลุกลามของความตาย ความทำลายล้าง และการพลัดถิ่นนั้นเกินจินตนาการ”
สถิติ ภัยพิบัติต่อเนื่อง
จากรายงาน Climate and Catastrophe Insight ประจำปี 2025 ของ Aon (เอออน) ที่เผยแพร่เมื่อ 22 มกราคม 2025 ระบุว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมมูลค่า 368,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024 (ลดลงจาก 397,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023) โดยมีสาเหตุหลักมาจากพายุเฮอริเคน และพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง (Severe Convective Storms: SCS) ในสหรัฐอเมริกา
ตัวเลขความเสียหายนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยในศตวรรษที่ 21 ถึง 14 เปอร์เซ็นต์ และนับเป็น ปีที่เก้าติดต่อกัน ที่ความเสียหายมีมูลค่าเกินกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ย้อนไปในปี 2021 มีเหตุการณ์ภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายระดับพันล้านดอลลาร์ถึง 20 ครั้ง ซึ่งสูงเป็นอันดับสี่ในประวัติศาสตร์ โดยความเสียหายจากสภาพอากาศหนาวเย็นทำสถิติใหม่ที่ 17 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่น้ำท่วมในยุโรปสร้างความเสียหาย 13 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นภัยพิบัติที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป
ฮอริเคนแคทรีนา ภัยร้ายที่สุดในรอบศตวรรษ
เมื่อปรับมูลค่าตามอัตราเงินเฟ้อเป็นดอลลาร์ปี 2024 พายุเฮอริเคนแคทรีนาในเดือนสิงหาคม 2005 ยังคงเป็นภัยพิบัติที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในโลก ด้วยความเสียหาย 104 พันล้านดอลลาร์ ตามด้วยพายุเฮอริเคนเอียนในปี 2022 ที่ 57 พันล้านดอลลาร์ และแผ่นดินไหว-สึนามิโทโฮกุในญี่ปุ่นปี 2011 ที่ 49 พันล้านดอลลาร์
คลื่นความร้อนคร่าชีวิตหลายพันคน
ข้อมูลภัยพิบัติที่อันตรายถึงชีวิตในปี 2024 เผยว่ามีผู้เสียชีวิตรวมประมาณ 18,100 ราย โดยคลื่นความร้อนในอิตาลีและกรีซระหว่างวันที่ 10-20 กรกฎาคมคร่าชีวิตสูงสุดที่ 1,900 ราย ตามด้วยคลื่นความร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1,571 ราย และความร้อนระหว่างพิธีฮัจญ์ในซาอุดีอาระเบีย 1,300 ราย
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 1950-2024 พายุไซโคลนโภลาในบังกลาเทศเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1970 ยังคงเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุด คร่าชีวิตผู้คนถึง 300,000 ราย
ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
ตามรายงาน Weather, Climate and Catastrophe Insight ปี 2021 ของ AON พบว่า ความเสียหายจากการประกันภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติรวมทั้งสิ้น 130 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของศตวรรษที่ 21 ถึง 76% และสูงกว่าปี 2020 ถึง 18%
ขณะที่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในปี 2021 สูงถึง 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 111 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นที่ได้รับการประกันภัย คิดเป็นสัดส่วนเพียง 38% หมายความว่ายังมีช่องว่างการป้องกัน (protection gap) อยู่ถึง 62% รายงานยังระบุว่าพายุเฮอริเคนไอดา เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายจากการประกันภัยใหญ่ที่สุดในปี 2021 ด้วยมูลค่า 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นเฮอริเคนที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นอันดับสี่ในประวัติศาสตร์
ชุมชนคือหัวใจลดภัย
ความร่วมมือของคนในชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การให้ความรู้และสร้างความตระหนักในระดับชุมชนช่วยให้คนในพื้นที่มีความพร้อมและสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนที่เตรียมพร้อมมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติ
UN ระบุว่าวันลดภัยพิบัติสากลเป็นการเตือนใจว่าการป้องกันที่ลงมือทำในวันนี้จะช่วยลดความสูญเสียในวันพรุ่งนี้ และสร้างอนาคตที่มั่นคงปลอดภัยให้กับคนรุ่นต่อไป การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะหมายถึงชีวิตที่ปลอดภัยและความหวังในอนาคตที่ดีกว่า
เน้นป้องกันมากกว่าแก้ไข
ภัยพิบัติมักเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และสามารถทำลายทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพแวดล้อมของชุมชนอย่างรุนแรง โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดมักเป็นชุมชนยากจนที่ขาดทรัพยากรและการเตรียมความพร้อมที่เพียงพอ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังทำให้ภัยพิบัติเกิดถี่และรุนแรงมากขึ้น
UN ได้เน้นว่าการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติไม่ใช่เพียงการจัดการหลังเกิดเหตุ แต่คือการป้องกันและเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น มาตรการสำคัญได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง การพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ การปลูกต้นไม้เพื่อป้องกันการพังทลายของดิน และการสร้างชุมชนที่มีความรู้และความพร้อมรับมือภัยพิบัติ
กรณีศึกษาความสำเร็จ
United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) ได้เผยแพร่ กรณีศึกษาของประเทศบังกลาเทศ ที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนหลักการ Disaster Risk Reduction (DRR) ให้เป็นการปฏิบัติจริง โดยเฉพาะในการรับมือกับพายุไซโคลน ทำให้มีอัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างมหาศาล และจากความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์จากตัวเลขการสูญเสียชีวิตที่ลดลงอย่างก้าวกระโดด
จากพายุไซโคลนที่เคยคร่าชีวิตผู้คนถึง 300,000 คนในปี 1970 และ 147,000 คนในปี 1991 (พายุ Gorky) แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการเตรียมพร้อม ทำให้ตัวเลขลดลงเหลือเพียง 4,500 คนในพายุไซโคลน Sidr ปี 2007 และ เหลือเพียง 6 คน ในพายุไซโคลน Mora ปี 2017
กลไกสำคัญที่ทำให้สำเร็จ
1. โครงการเตรียมความพร้อมรับมือพายุไซโคลน (CPP) ของบังกลาเทศ คือหัวใจสำคัญคือระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีอาสาสมัครชุมชนกว่า 76,000 คน ซึ่งทำหน้าที่แจ้งเตือนแบบเคาะประตูบ้านและใช้เครื่องมือท้องถิ่น เช่น ลำโพงจากหอมัสยิด เพื่ออพยพผู้คนไปยังที่พักพิงอย่างรวดเร็ว
2. ระบบเตือนภัยและอพยพที่รวดเร็ว ประเทศมีความสามารถในการอพยพผู้คนหลายล้านคนภายใน 24 ชั่วโมง และมีระบบเขื่อนป้องกันชายฝั่งที่คุ้มครองแนวชายฝั่งที่เปราะบางกว่า 6,000 กิโลเมตร
3. ที่พักพิงพหุประสงค์ จากที่พักพิงน้อยกว่า 100 แห่งในอดีต ปัจจุบันมีมากกว่า 5,000 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้เกือบ 5 ล้านคน ที่พักพิงเหล่านี้ถูกสร้างให้ทนทานต่อลมแรง และในช่วงนอกฤดูพายุจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางชุมชน เช่น โรงเรียนหรือสำนักงานแพทย์
4. การลงทุนระยะยาว รัฐบาลได้อนุมัติ Bangladesh Delta Plan 2100 ซึ่งจะลงทุนถึง 2.5% ของ GDP ประจำปี (ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์) เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ







