Polycrisis เมื่อวิกฤติไม่ได้มาเดี่ยวๆ | คิดอนาคต

Polycrisis เมื่อวิกฤติไม่ได้มาเดี่ยวๆ | คิดอนาคต

โดยทั่วไป วิกฤติมักถูกเล่าเป็นเรื่องเดี่ยวๆ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำที่แก้ด้วยนโยบายการเงินการคลัง ภัยธรรมชาติที่แก้ด้วยแผนรับมือภัยพิบัติ การเมืองก็ไปอีกสนามหนึ่ง

ซึ่งชัดเจนและให้ความรู้สึกว่าหากรัฐบาลเก่งพอก็คงจัดการได้ทีละเรื่องอย่างเป็นระเบียบเหมือนเช็กลิสต์งานบ้าน

แต่ในทุกวันนี้ ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น วิกฤติต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นทีละคิวเหมือนคนเข้าแถวซื้อชานมไข่มุก หากแต่เกิดพร้อมกัน พัวพันกัน และเร่งแรงกันเป็นลูกโซ่แบบไม่มีใครบอกคิว วิกฤติหนึ่งดันไปสะกิดอีกวิกฤติให้ลุกขึ้นเต้น จนระบบทั้งหมดสั่นสะเทือนอย่างที่กรอบคิดเชิงเส้นเดิมไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไป

ทุกวันนี้ เราเจอวิกฤติทั้งจากภายนอกและวิกฤติภายในประเทศ และมาจากหลากหลายมิติทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและสิ่งแวดล้อม และเจอกันในหลายประเทศทั่วโลก จนทำให้คำว่า Polycrisis โผล่ขึ้นมาในพจนานุกรมเชิงยุทธศาสตร์โลก

อาจใช้คำภาษาไทยว่า "วิกฤตพหุซ้อน" เพื่อสะท้อนภาวะที่วิกฤติต่างชนิดกัน ไม่ว่าจะเป็น วิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี หรือสังคม เกิดขึ้นพร้อมกันและมีปฏิสัมพันธ์เชิงสาเหตุ ส่งผลให้ภาพรวมรุนแรงกว่าผลรวมส่วนย่อย แบบหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสองอย่างชัดเจน

หลังโลกเผชิญโรคระบาดใหญ่อย่างโควิด-19 ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติพลังงาน เงินเฟ้อสูง หนี้สาธารณะพุ่งและเทคโนโลยีที่เร่งตัวอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่พล็อตย่อยแยกกัน แต่เป็นจักรวาลมัลติเวอร์สของวิกฤติที่พัวพันกันแน่นหนา

เช่น โรคระบาดทำให้ห่วงโซ่อุปทานชะงัก ราคาสินค้าเพิ่ม รัฐบาลต้องอัดฉีดการคลัง หนี้สาธารณะพุ่ง ความเปราะบางทางเศรษฐกิจขยายตัว แล้วสงครามพลังงานก็มาซ้ำเติมเงินเฟ้ออีกที เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์วิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่จำนวนวิกฤติที่มากขึ้น แต่คือวิธีที่พวกวิกฤติคุยกัน วิกฤติหนึ่งอาจเป็นเหมือนคนที่ส่งข้อความไปหาอีกคนตลอดเวลา เศรษฐกิจส่งแรงสะเทือนให้สังคม สังคมส่งต่อให้การเมือง การเมืองสะเทือนไปยังภูมิรัฐศาสตร์

แล้วภูมิรัฐศาสตร์ก็ย้อนกลับมากดดันเศรษฐกิจอีกที เป็นวงจรป้อนกลับที่ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่ใกล้เคียงกับเกมโดมิโนที่ตั้งอยู่บนพื้นสั่น เพียงตัวแรกเอนนิดเดียว ที่เหลือก็ล้มเป็นแถว

ลองจินตนาการว่าพื้นที่แห่งหนึ่งเกิดภัยแล้งรุนแรง ผลผลิตเกษตรลดลง ราคาสินค้าอาหารพุ่ง เกษตรกรจำนวนมากย้ายเข้าสู่เมืองเพื่อหางาน ในขณะที่เมืองเองก็เผชิญคลื่นความร้อนและมลพิษเพิ่มขึ้น ความต้องการพลังงานสูงสุดทำให้ระบบไฟฟ้าตึงมือ ราคาพลังงานนำเข้าผันผวน เศรษฐกิจเมืองชะลอตัว ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบทขยาย แรงกดดันทางสังคมเพิ่ม

และถ้าบวกวิกฤติโลก เช่น การชะลอตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือเหตุขัดข้องด้านไซบอร์ระดับโครงสร้างพื้นฐานเข้ามาอีกหน่อย ภาพรวมทั้งหมดนี้อาจกลายเป็น พายุสมบูรณ์แบบ โดยเริ่มจากภัยแล้งเพียงจุดเดียว

ในสถานการณ์เช่นนี้ ความท้าทายที่แท้จริงไม่ใช่การรู้ว่าใครผิดหรือหาปุ่มเดียวที่กดแล้วทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม เพราะไม่มีปุ่มนั้นอยู่จริง การมองให้เห็นเป็นระบบและการมองเห็นความเชื่อมโยง จึงกลายเป็นทักษะที่สำคัญระดับชาติ ถ้าอดีตเรามีแผนรับมือภัยธรรมชาติ แผนเศรษฐกิจ แผนพลังงาน แยกกันเหมือนเอกสารอยู่คนละแฟ้ม

ยุค polycrisis เราจำเป็นต้องรู้ว่าแฟ้มเหล่านั้นซ้อนทับกันตรงไหน และการเปลี่ยนบรรทัดหนึ่งในแฟ้มหนึ่ง อาจไปสะเทือนอีกแฟ้มหนึ่งอย่างไรบ้าง แผนพัฒนาฯ ฉบับใหม่ๆ จึงต้องมีกลไกรับมือกับ polycrisis ในอนาคต

การยอมรับว่าโลกไม่เป็นระเบียบเหมือนที่คิด ก็มีข้อดีอยู่บ้าง เพราะทำให้เราเลิกคิดว่าแค่ทำให้ระบบมีประสิทธิภาพที่สุดก็พอ เพราะระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในวันดีๆ มักเปราะบางที่สุดในวันที่มีปัญหา เหมือนห้องแอร์ที่เย็นสบายแต่หน้าต่างปิดตาย ถ้าไฟดับขึ้นมาเมื่อไร ความเย็นกลายเป็นกับดักทันที

การมองโลกแบบ polycrisis ช่วยเปลี่ยนคำถามจากจะทำให้ทุกอย่างไหลลื่นที่สุดได้อย่างไร ไปเป็นจะทำอย่างไรให้ระบบทนแรงกระแทกได้เมื่อทุกอย่างสั่นพร้อมกัน

ความยืดหยุ่น (resilience) จึงกลายเป็นพระเอกตัวจริง ความยืดหยุ่นหมายถึงการมีทางเลือกหลายทางในระบบ ไม่ผูกกับจุดเดียวเกินไป และมีกลไกที่ทำให้ชุมชน รัฐ และตลาดสามารถประสานมือกันยามเกิดเหตุจริง ไม่ใช่ต่างคนต่างแก้เหมือนวงดนตรีที่เล่นเพลงคนละคีย์

แนวคิด polycrisis จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือวิเคราะห์หรือโมเดลเชิงซับซ้อน แม้จะมีที่มาจากโลกวิชาการ แต่ความสำคัญจริงอยู่ที่มุมมองต่อโลก ที่บังคับให้เรามองปัญหาอย่างถ่อมตน เห็นความเชื่อมโยงที่ซ่อนอยู่ และไม่หลงกับความเรียบง่ายปลอมๆ ที่อาจใช้ได้ดีเฉพาะในสภาพอากาศแจ่มใส

ความเข้าใจเช่นนี้ยังช่วยปรับท่าทีทางสังคม ไม่รีบหาคนผิด ไม่หลงกับทางลัด และรู้ว่าการร่วมมือคือกลไกเอาชีวิตรอดของระบบที่เผชิญแรงกระแทกพร้อมกันจากหลายทิศทาง

โลกยุค polycrisis ทำให้ต้องยอมรับว่าบุคคล บริษัท หน่วยงานภาครัฐ และรัฐบาล ไม่ได้อยู่ในโลกของปัญหาเดี่ยวๆ อีกต่อไป การมองเห็นภาพรวมทั้งระบบร่วมกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากในยุคนี้ ที่สำคัญคือแต่ละหน่วยงานจะแบ่งงานกันทำเป็นส่วนๆ โดยไม่เห็นทั้งระบบไม่ได้อีกต่อไป

 

Polycrisis เมื่อวิกฤติไม่ได้มาเดี่ยวๆ | คิดอนาคต