ผลักดันพลังงานหมุนเวียน ไทยต้องลงทุนกับระบบสมาร์ตกริดให้มากขึ้น

ประเทศไทยในปัจจุบันมีความจำเป็นต้องเร่งผลักดันพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

ในยุคสมัยที่เศรษฐกิจสีเขียวเป็นสิ่งจำเป็น ท่ามกลางการใช้มาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อมในการกีดกันทางการค้า ทั้งนี้ประเทศไทยต้องให้ความใส่ใจ กับการกระจายการผลิตกระแสไฟฟ้า ที่ผู้อ่านทุกท่านในอนาคตอาจจะกลายเป็นผู้ขายไฟฟ้าให้ภาครัฐก็ได้ครับ

ประเทศไทยประกาศเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่กำลังปรับแก้กันอยู่ในเวลานี้ เพื่อก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ

แต่หากเรามองให้ลึกลงไปกว่าแค่การเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือกังหันลม สิ่งหนึ่งที่ยังเป็น “จุดอ่อน” สำคัญของระบบไฟฟ้าไทย คือการไม่มีโครงข่ายไฟฟ้าที่ฉลาดเพียงพอจะรองรับพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต หรือที่เรียกกันว่า “สมาร์ตกริด”

สมาร์ตกริด ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนสายไฟหรือหม้อแปลงให้ทันสมัยขึ้น แต่คือการยกเครื่องระบบโครงข่ายไฟฟ้า โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาจัดการควบคุม ตรวจสอบ และปรับสมดุลระหว่างการผลิตกับการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้ระบบการไหลของไฟฟ้าทำได้สองทิศทาง

แตกต่างจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าในปัจจุบันที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานหลัก คือ การส่งพลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า ผ่านตัวกลางต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพลังงานไฟฟ้าจะมีทิศทางการไหลทิศทางเดียว

 แม้ประเทศไทยได้วางแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ตกริด พ.ศ. 2558-2579 ซึ่งถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวเกือบสามทศวรรษ ครอบคลุมการเชื่อมโยงแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กจากครัวเรือนหรือชุมชนเข้าสู่โครงข่ายหลัก

แต่เราพบว่ายังมีการลงทุนที่จำกัดและดำเนินการล่าช้ากว่ากรอบเวลาค่อนข้างมาก ในสภาวะที่การแข่งขันทางการค้าดุเดือด การพัฒนาสีเขียวเป็นเป้าหมายการพัฒนาของโลก เรื่องพลังงานจึงกลายเป็นความมั่นคงของรัฐ และการผูกขาดพลังงานกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก

เพราะหากไม่มีสมาร์ตกริด การต่อยอดนโยบายส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อปก็จะสะดุด ประชาชนที่ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาอาจผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ แต่จะขายไฟส่วนเกินเข้าระบบได้ยาก

เนื่องจากโครงข่ายไฟฟ้าเดิมไม่ได้ถูกออกแบบมาให้บ้านเรือน หรือธุรกิจรายย่อยเป็นทั้งผู้ใช้และผู้ผลิตไฟฟ้า (prosumer) ในเวลาเดียวกัน

ระบบสมาร์ตกริดจะเข้ามาแก้โจทย์นี้ โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แล้วขายไฟฟ้ากลับเข้าสู่ระบบได้อย่างคล่องตัว และยังช่วยลดความกังวลด้านเสถียรภาพไฟฟ้า ที่มักถูกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการจำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจากรายย่อยด้วย

นอกจากนี้ สมาร์ตกริดยังมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม ช่วยลดไฟฟ้าที่สูญเสียระหว่างการส่งจ่าย (technical loss) อีกด้วย

อีกประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ สมาร์ตกริดจะปูทางไปสู่การเป็น Smart City และเมืองคาร์บอนต่ำที่แท้จริง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อม หากยังเป็นตัวดึงดูดการลงทุนจากภายในและต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้นเรื่อย ๆ

วันนี้เรากำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่งของการพัฒนาระบบไฟฟ้า หากเลือกเพียงการเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยไม่ลงทุนควบคู่กับสมาร์ตกริด ระบบไฟฟ้าของไทยอาจเต็มไปด้วยปัญหาไฟตกไฟดับ หรือท้ายที่สุดองหันไปพึ่งโรงไฟฟ้าฟอสซิล

ในทางกลับกัน ถ้าเรากล้าตัดสินใจลงทุนในสมาร์ตกริด เราจะได้ระบบไฟฟ้าที่ไม่เพียงรองรับพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่ยังสร้างรายได้ให้ประชาชน สนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ และทำให้เมืองไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสีเขียวในภูมิภาคในอนาคต

ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องเดินตามแผนแม่บทสมาร์ตกริดที่วางไว้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องการเร่งติดตั้งสมาร์ตมิเตอร์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลพลังงาน (Energy Management Platform) และการเปิดให้ประชาชนสามารถขายไฟได้ง่ายขึ้น

 

หากเรามุ่งมั่นลงทุนลงแรงตั้งแต่วันนี้ เมืองไทยจะไม่เพียงเป็นผู้ตามในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แต่จะกลายเป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะและเมืองคาร์บอนต่ำ ที่สร้างทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยทั้งประเทศได้จริง.