'Longevity' เทรนด์อายุยืน โอกาสทองหรือระเบิดเวลา ของสังคมไทย

'Longevity' เทรนด์อายุยืน โอกาสทองหรือระเบิดเวลา ของสังคมไทย

เทรนด์ Longevity คือการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ (Silver Economy) และความท้าทายครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างสังคมไทยที่ยังไม่พร้อมรับมือ

KEY

POINTS

  • เทรนด์ Longevity คือการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ (Silver Economy) และความท้าทายครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างสังคมไทยที่ยังไม่พร้อมรับมือ
  • การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นทำให้ระบบสังคมปัจจุบัน ทั้งการศึกษา การวางแผนเกษียณ และโครงสร้างครอบครัว ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรองรับวิถีชีวิตใหม่
  • ความท้าทายสำคัญของไทยคือ แม้อายุขัยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น แต่ช่วงเวลาของการมีสุขภาพดีกลับสั้นกว่ามาก ทำให้คนไทยต้องใช้ชีวิตกับโรคเรื้อรังเฉลี่ยถึง 10 ปี
  • ภาคธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคใหม่คือ "Active Seniors" หรือผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจในอนาคต

กระแส "Longevity" หรือการมีอายุยืนยาวที่กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดย 'ลองจีวิตี้' ไม่ได้หมายถึงแค่การมีอายุยืนยาว แต่คือการมีอายุยืนที่ควบคู่กับคุณภาพชีวิต ทั้งร่างกายแข็งแรง จิตใจดี และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเต็มที่

เทรนด์นี้เกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ และการเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้นจากเทคโนโลยี

ปรากฏการณ์นี้กำลังผลักดันให้ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกเข้าสู่ "Silver Economy" หรือสังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) มองว่าจะเกิด "Longevity Economic" ที่ประกอบด้วยการสร้างระบบเกษียณอายุ การเปลี่ยนบทบาทนายจ้าง และการสนับสนุนทางการเงิน แต่ท่ามกลางข่าวดีเรื่องอายุยืน กลับมาพร้อมความท้าทายครั้งใหญ่ที่สังคมไทยอาจยังไม่พร้อมรับมือ

อายุขัยเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าใน 200 ปี

ข้อมูลจาก Our World in Data องค์กรวิจัยระดับโลก เผยว่า ในปี 1900 อายุขัยเฉลี่ยของทารกแรกเกิดอยู่ที่เพียง 32 ปี แต่ภายในปี 2021 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเป็น 71 ปี ในขณะที่เมื่อ 200 ปีก่อน ไม่มีภูมิภาคใดในโลกที่มีอายุขัยเฉลี่ยเกิน 40 ปี

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งเรื่องโภชนาการ น้ำดื่มสะอาด สุขอนามัย การดูแลทารก ยาปฏิชีวนะ วัคซีน รวมถึงการยกระดับมาตรฐานการครองชีพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลดลงของความยากจน

ระบบเก่า ไม่รองรับชีวิตใหม่

ดร.เฟอร์นันโด ตอร์เรส-กิล (Fernando Torres-Gil) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) กล่าวว่า การมีชีวิตยืนยาวนั้นจำเป็นต้องมีการวางแผน

"ในช่วงวัย 20, 30 หรือ 40 ปี ควรเริ่มวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงโรคเรื้อรังด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ยิ่งเริ่มทำได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถรักษานิสัยการดูแลสุขภาพที่ดีไปได้ยาวนานขึ้น"

ระบบต่างๆ ที่ใช้อยู่ปัจจุบันถูกออกแบบมาสำหรับคนที่มีอายุขัยเฉลี่ยแค่ราว 80 ปี แต่เมื่อตัวเลขนี้กำลังพุ่งสูงขึ้น ทุกมิติของสังคมจะต้องปรับตัว

  • โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยน : อนาคตอาจเห็นครอบครัวที่มีสมาชิก 5-6 รุ่นอาศัยอยู่ร่วมกัน ความสัมพันธ์จะซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น
  • การศึกษาต้องปรับ : "เรียนจบครั้งเดียว" ใช้ไม่ได้อีกแล้ว ผู้คนจะต้อง "เรียนรู้ตลอดชีวิต" เพื่อทันโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว สถาบันการศึกษาอาจต้องเปิดหลักสูตรสำหรับคนวัย 50-60 ปี เตรียมพร้อมสู่ "อาชีพที่สอง"
  • วัยเกษียณยืดยาว : การวางแผนเงินออมสำหรับชีวิตหลังเกษียณ 20 ปีไม่พอแล้ว ต้องเตรียมพร้อมอีก 30-40 ปี ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ อย่างแผนลงทุนระยะยาวพิเศษและประกันที่รองรับไลฟ์สไตล์ผู้สูงวัยจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

ตลาดเปลี่ยน ธุรกิจต้องตาม

กลุ่มผู้บริโภคหลักของโลกกำลังเปลี่ยนจากคนหนุ่มสาวไปสู่ "Active Seniors" หรือผู้สูงวัยที่ยังแข็งแรง มีกำลังซื้อสูง สินค้า บริการ การตลาด และการออกแบบทุกอย่างต้องปรับเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ประสบการณ์ และความสะดวกสบาย

อย่างที่ ญี่ปุ่น ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบและเร็วที่สุดในโลก สร้างนวัตกรรมมากมาย ทั้งชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในบ้าน และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเป็นภาพอนาคตที่ไทยกำลังจะเผชิญ

สาธารณสุขไทยพร้อมหรือยัง?

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศเผยว่า ในช่วงปี 2562-2567 คนไทยจะมีอายุขัยเฉลี่ย 73-77 ปี แต่มีอายุขัยเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีเพียง 67-68 ปี หมายความว่า คนไทยต้องใช้ชีวิตกับโรคเรื้อรังถึง 10 ปี

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังดีกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 61.9 ปี และเทียบเท่าภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก แต่ยังห่างไกลจากประเทศชั้นนำอย่างญี่ปุ่นหรือสวีเดนที่มีอายุขัยเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี 71-73 ปี

รายงานระบุว่า แม้ระบบสาธารณสุขไทยจะมีนโยบายที่เกี่ยวข้องมากมาย เช่น การนับคาร์บ ภาษีน้ำตาล การควบคุมโซเดียม และการส่งเสริมการออกกำลังกาย แต่ยังมีปัญหาด้านมลภาวะและความเหลื่อมล้ำที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ไทยพร้อมแค่ไหน?

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านตั้งคำถามว่า ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และที่สำคัญคือประชาชนไทยเองได้เตรียมพร้อมรับมือแล้วหรือยัง? คำถามสำคัญคือ เราเริ่มวางแผนการเงินเพื่ออนาคตที่ยาวนานขึ้นแล้วหรือยัง? เราพร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่ในวัย 50-60 ปีหรือไม่?

สังคมไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและทัศนคติที่พร้อมดึงศักยภาพผู้สูงวัยมาใช้ประโยชน์แล้วหรือยัง? “การมีอายุยืนคือโอกาสล้ำค่า แต่อาจกลายเป็นวิกฤตได้หากไม่เตรียมตัวตั้งแต่วันนี้”

 

ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ

 

อ้างอิง: Our World in Data, We Forum, UCLA, สํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ