นักวิจัยเตือน ตึก 100 ล้านแห่งทั่วโลก เสี่ยงน้ำท่วม หากไม่ลดก๊าซเรือนกระจก

จำเป็นต้องควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้อาคารหลายล้านหลังกลายเป็นความเสี่ยงต่อน้ำท่วมเป็นประจำ
KEY
POINTS
- งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์เตือนว่าอาคารกว่า 100 ล้านหลังทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมเป็นประจำ หากไม่สามารถควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
- สาเหตุหลักเกิดจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน โดยหากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 5 เมตรหรือมากกว่า จะส่งผลกระทบต่ออาคารมากกว่า 100 ล้านหลัง
- พื้นที่เสี่ยงสูงคือบริเวณชายฝั่งที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ และสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและระบบอาหารโลก
รายงานจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร npj Urban Sustainability พบว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลอาจทำให้อาคารมากกว่า 100 ล้านหลังทั่วโลกกำลังเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ หากไม่สามารถควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างรวดเร็ว
งานวิจัยนี้ เป็นการประเมินผลกระทบระยะยาวของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่งในแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยทีมวิจัยได้ใช้แผนที่ดาวเทียมและข้อมูลระดับความสูงอย่างละเอียด เพื่อประเมินจำนวนอาคารที่จะจมอยู่ใต้น้ำที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นระหว่าง 0.5-20 เมตร ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ
ศ.นาตาเลีย โกเมซ ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยและประธานฝ่ายวิจัยแคนาดา สาขาปฏิสัมพันธ์ระหว่างแผ่นน้ำแข็งกับระดับน้ำทะเล มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ กล่าวว่า “ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นผลที่เกิดจากภาวะโลกร้อน แม้ว่าจะเกิดขึ้นช้า แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรชายฝั่งอยู่แล้วและจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายศตวรรษ”
ศ.โกเมซยังกล่าวต่ออีกว่า “ผู้คนมักพูดถึงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหลายสิบเซนติเมตร หรืออาจสูงถึงหนึ่งเมตร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นต่อไปอีกหลายเมตร หากเราไม่หยุดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเร็ว”
หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเพียง 0.5 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น แม้จะอยู่ภายใต้มาตรการลดการปล่อยมลพิษที่เข้มงวด จะส่งผลให้อาคารประมาณสามล้านหลังอาจจมอยู่ใต้น้ำ
หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 5 เมตรหรือมากกว่า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่ร้อยปี จะส่งผลให้อาคารมากกว่า 100 ล้านหลังจะตกอยู่ในความเสี่ยง
อาคารเหล่านี้จำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและที่ราบลุ่ม หมายความว่าชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญทั้งหมด รวมถึงท่าเรือ โรงกลั่น และแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม จะได้รับผลกระทบ
“เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความจริงที่ว่า ในตอนนี้กำลังมีอาคารจำนวนมากที่เสี่ยงจมน้ำในระยะยาว และบางประเทศที่ติดทะเลมีความเสี่ยงมากกว่าประเทศอื่น ๆ มาก เนื่องจากรายละเอียดของภูมิประเทศชายฝั่งและตำแหน่งของอาคาร” ศ.เจฟฟ์ คาร์ไดล์ ผู้เขียนร่วมและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแมคกิลล์กล่าว
ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ มีความสำคัญต่อนักวางผังเมือง ผู้กำหนดนโยบาย และชุมชนที่กำลังเตรียมรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เราทุกคนจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ใกล้ทะเลหรือไม่ก็ตาม เพราะเราทุกคนต้องพึ่งพาสินค้า อาหาร และเชื้อเพลิงที่ผ่านท่าเรือ แต่หากโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ถูกทำลายจากน้ำทะเลที่ขึ้นสูงอาจสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจและระบบอาหารที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกของเรา” เอริค กัลเบรธ ศาสตราจารย์อีกท่านหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแมคกิลล์กล่าว
แผนที่แบบอินเทอร์แอคทีฟของการศึกษานี้ ซึ่งเผยแพร่สู่สาธารณะผ่าน Google Earth Engine ช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเห็นภาพว่าภูมิภาคใดเผชิญกับผลกระทบมากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบกลยุทธ์การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานป้องกัน การปรับผังการใช้ที่ดิน หรือในบางกรณี การจัดการการถอยร่น
ที่มา: Euro News, Phys, Technology Networks







