สั่นสะเทือน (ร่าง) พ.ร.บ. ภูมิอากาศไทย จ่อคลอด 'ราคาคาร์บอน' บีบธุรกิจไทยเร่งปรับตัวก่อนพ่ายเกมการค้าโลก

สั่นสะเทือน (ร่าง) พ.ร.บ. ภูมิอากาศไทย จ่อคลอด 'ราคาคาร์บอน' บีบธุรกิจไทยเร่งปรับตัวก่อนพ่ายเกมการค้าโลก

กฎหมายฉบับใหม่เตรียมนำมาตรการบังคับใช้ด้านคาร์บอนสู่ภาคธุรกิจไทย ทั้งการรายงานภาคบังคับ, ระบบซื้อขายสิทธิ, และภาษีคาร์บอน เพื่อผลักดันประเทศสู่ Net Zero 2618

KEY

POINTS

  • (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เตรียมบังคับใช้กลไก "ราคาคาร์บอน" เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero
  • กฎหมายจะนำมาตรการสำคัญมาใช้กับภาคธุรกิจ ได้แก่ การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ, ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซ (ETS) และภาษีคาร์บอน
  • ภาคธุรกิจไทยจำเป็นต้องเร่งประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์และลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อปรับตัวรับมือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าโลก โดยเฉพาะกับคู่ค้าที่มีมาตรการกีดกันทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม

กฎหมายฉบับใหม่เตรียมนำมาตรการบังคับใช้ด้านคาร์บอนสู่ภาคธุรกิจไทย ทั้งการรายงานภาคบังคับ, ระบบซื้อขายสิทธิ, และภาษีคาร์บอน เพื่อผลักดันประเทศสู่ Net Zero 2065 ผู้ประกอบการต้องเริ่มประเมิน "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" และลงทุนใน "พลังงานสะอาด" ทันที เพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นโอกาสทางการค้าในตลาดโลกคาร์บอนต่ำ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญสำหรับภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทย

ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เมื่อ (ร่าง) พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังจะเข้าสู่การบังคับใช้ จะกลายเป็น "กฎหมายแม่" ที่กำหนดทิศทางของประเทศให้มุ่งสู่เป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2618 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับประชาคมโลกภายใต้ความตกลงปารีส

กฎหมายฉบับนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมโดยตรงต่อ ต้นทุนและรูปแบบการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะใน ภาคพลังงาน ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบ 70% ของประเทศ และ ภาคอุตสาหกรรม ด้วยการนำกลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญหลายประการมาบังคับใช้

4 กลไกหลักที่ธุรกิจไทยต้องจับตา

(ร่าง) พ.ร.บ. ภูมิอากาศฉบับนี้ บรรจุเครื่องมือสำคัญที่เรียกว่า "ราคาคาร์บอน" (Carbon Pricing) ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ใช้ในการผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก กลไกเหล่านี้ประกอบด้วย

  1. การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ (GHG Reporting): นิติบุคคลที่เข้าเกณฑ์ (เช่น โรงงานที่ปล่อยก๊าซฯ สูง) จะต้องจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซฯ (CFO Scope 1 & 2) และต้องผ่านการทวนสอบจากผู้ทวนสอบภายนอก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการวัดผลและควบคุม
  2. ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System - ETS): เป็นระบบแบบ "Cap-and-Trade" ที่จะกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซฯ หากผู้ประกอบการปล่อยเกินสิทธิที่ได้รับ จะต้อง ซื้อสิทธิเพิ่มเติม ในตลาด หรือใช้คาร์บอนเครดิตชดเชย ขณะที่ผู้ที่ลดการปล่อยได้ต่ำกว่าสิทธิ สามารถ ขายสิทธิ ส่วนที่เหลือเพื่อสร้างรายได้
  3. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax): พ.ร.บ. เตรียมกำหนดให้มีการเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยจะเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์น้ำมันและปิโตรเลียม ซึ่งจัดเก็บโดยกรมสรรพสามิต และจะปรับเพิ่มอัตราตามระยะที่กำหนด
  4. กลไกการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM): มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) โดยอาจมีการเก็บค่าธรรมเนียมกับสินค้านำเข้า เพื่อปรับราคาคาร์บอนให้เท่าเทียมกับสินค้าที่ผลิตในประเทศ

นอกจากนี้ กฎหมายยังมีการจัดตั้ง กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อเป็นแหล่งทุนสนับสนุนโครงการลดก๊าซฯ และการปรับตัว รวมถึงกำหนดให้ คาร์บอนเครดิต เป็นสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ และการจัดทำ Thailand Taxonomy เพื่อจำแนกกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นกลุ่ม สีเขียว (มิตรต่อสิ่งแวดล้อม) และ สีเหลือง (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) เพื่อชี้นำการลงทุน

วิกฤตภูมิอากาศคุกคามเศรษฐกิจโลก

การเร่งออกกฎหมายนี้สอดคล้องกับสัญญาณวิกฤตระดับโลก โดยคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยโลกจะสูงขึ้นถึง 1.5 องศา เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภายในช่วงปี 2568–2572 ซึ่ง World Economic Forum ประเมินว่าวิกฤตนี้อาจสร้างความเสียหายมูลค่าสูงถึง 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่คู่ค้าสำคัญอย่างสหภาพยุโรปได้เริ่มใช้ EU ETS และ CBAM อย่างเข้มข้น และเอเชียตะวันออกอย่างเกาหลีใต้ (K-ETS) และจีน (ETS) ก็ได้เริ่มใช้กลไกเหล่านี้แล้ว การไม่ปรับตัวจะนำมาซึ่ง ความเสี่ยงทางการค้า สำหรับสินค้าส่งออกของไทย

โอกาสทองสำหรับธุรกิจที่พร้อมปรับตัว

การบังคับใช้ พ.ร.บ. นี้ ไม่ได้มีเพียงแต่ความเสี่ยงด้านต้นทุน แต่ยังสร้าง โอกาสทางธุรกิจ ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในการ

  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบของคู่ค้า เช่น EU-CBAM
  • ดึงดูดการลงทุน: เป็นโอกาสดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับปัจจัย ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
  • เข้าถึงตลาดคาร์บอน: การใช้กลไกต่างๆ จะสร้างอุปสงค์สำหรับสินค้าและบริการคาร์บอนต่ำในวงกว้าง

แนวทาง "รอดและรุ่ง" สำหรับภาคธุรกิจ

เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ภาคธุรกิจต้องเริ่มดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยมีแนวทางหลัก 5 อย่าง

  • ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO): เข้าใจแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซฯ ของตนเอง เพื่อกำหนดเป้าหมายการลดที่แม่นยำ
  • ลงทุนในพลังงานสะอาด/พลังงานทดแทน: เปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานที่มีการปล่อยก๊าซฯ ต่ำ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซฯ โดยตรง
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: การลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตจะช่วยลดต้นทุนและสิทธิการปล่อยที่ต้องซื้อในระบบ ETS
  • พัฒนาระบบ MRV (การตรวจวัด รายงาน และทวนสอบ): สร้างระบบข้อมูลที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือเพื่อรองรับการรายงานภาคบังคับ
  • บูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจหลัก: กำหนดเป้าหมาย Net Zero ที่ชัดเจนและสื่อสารกับนักลงทุน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนขององค์กร

ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกใน ปี 2573 (NDC 2.0) ที่ 30-40% จากกรณีปกติ การมาถึงของ (ร่าง) พ.ร.บ. ภูมิอากาศจึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า การดำเนินธุรกิจตามปกติ (Business as Usual - BAU) จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป ผู้ประกอบการที่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่กระบวนการผลิตคาร์บอนต่ำได้เร็วที่สุด ย่อมเป็นผู้กุมความได้เปรียบในเศรษฐกิจยุคใหม่