วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า

วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า

กระแส "รักษ์โลก" ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ทำให้ "ฉลากสิ่งแวดล้อม" (Ecolabel) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหลายคนใช้ในการตัดสินใจ

ท่ามกลางสัญลักษณ์มากมายบนผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงสับสนและขาดความเข้าใจที่แท้จริง เช่น ‘ฉลากเขียว’ แตกต่างจาก ‘ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์’ อย่างไร หรือฉลากที่ผู้ผลิตรับรองตนเองน่าเชื่อถือเพียงใด ความไม่ชัดเจนนี้อาจทำให้ผู้บริโภคสับสนและตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ได้ยาก

เนื่องในโอกาส วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก (World Ecolabel Day) ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปี และปีนี้คือวันที่ 9 ตุลาคม จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะมาถอดรหัสความหมายเบื้องหลังฉลากเหล่านี้

เพื่อให้ทุกการ "เลือก" ของเรา สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกได้อย่างแท้จริง เพราะฉลากสิ่งแวดล้อมคือกลไกที่สื่อสารเชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้บริโภค สู่ความยั่งยืนของการรักษาสิ่งแวดล้อม 

ฉลากสิ่งแวดล้อม (Ecolabel) คือ สัญลักษณ์ที่ติดบนผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อบ่งบอกว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ที่ทำหน้าที่อย่างเดียวกันในหมวดหมู่นั้นๆ. 

วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า  

ฉลากนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารข้อมูลความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ช่วยลดผลกระทบต่อโลกได้

โดยมีความสำคัญคือเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย จึงเป็นเหมือน “สัญลักษณ์” ที่สื่อสารว่า สินค้านี้ดีต่อโลกกว่าสินค้าทั่วไป 

ดังนั้น หากถามว่าฉลากสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่มากมายนั้นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

บทความนี้มีคำตอบ

ตามชุดมาตรฐาน ISO 14020  แบ่งฉลากสิ่งแวดล้อมออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่  

ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 (ISO14024) เป็นฉลากที่บ่งบอกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดที่มีการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นๆ 

สินค้าและบริการต้องผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดทุกข้อจึงจะได้รับการรับรอง ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 นี้ให้การรับรองโดยองค์กรอิสระที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในประเทศไทยมีการออกฉลากประเภทที่ 1 ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “ฉลากเขียว”

วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า

ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 2 (ISO14021) เป็นฉลากที่ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย หรือ ผู้ส่งออก จะเป็นผู้บ่งบอกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือแสดงค่าทางสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตนเอง ซึ่งอาจจะแสดงในรูปของข้อความ หรือสัญลักษณ์ รูปภาพ เช่น การใช้พลังงานอย่างประหยัด การนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น

วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า  

ฉลากนี้ จะไม่มีองค์กรกลางในการดูแล แต่ทางผู้ผลิต จะต้องสามารถหาหลักฐานมาแสดงเมื่อมีคนสอบถามได้ และในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาฉลากผลิตภัณฑ์หมุนเวียน ฉลากผลิตภัณฑ์ชุมชน และฉลาก eco plus

โดยมีหลักการ คือ ผู้ผลิตรับรองตนเองว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด แต่มีองค์กรอิสระที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียให้การตรวจสอบและรับรองอีกทีหนึ่ง จึงมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 3 (ISO14025) เป็นฉลากที่บ่งบอกถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมโดยรวม โดยการใช้เครื่องมือการประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตของสิ่งแวดล้อม (Life Cycle Assessment) เข้ามาประเมิน

วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า

ฉลากนี้จะมีหน่วยงานอิสระหรือองค์กรกลาง ในการทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะประกาศใช้กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ต่อไป เช่น ฉลากข้อมูลสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์, ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์, ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกเหนือฉลากในระบบมาตรฐาน ISO 14020 ข้างต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนาเฉพาะอย่าง เพื่อสื่อหรือจูงใจให้ผู้บริโภคเห็นความสำคัญของการเลือกใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ เช่น ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 และโรงแรมใบไม้เขียว เป็นต้น

วันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก : ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่คือ "มาตรฐาน" เพื่อโลกที่ดีกว่า

“ฉลากเขียว” เป็นฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 ของประเทศไทย ซึ่งดำเนินการโดย สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 33 ปี

การรับรองฉลากเขียวไม่ได้พิจารณาเพียงคุณภาพสินค้า แต่ครอบคลุม การลดผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการเมื่อหมดอายุการใช้งาน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้านั้นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

นอกจากผู้ผลิตแล้ว ผู้บริโภคเองก็มีบทบาทสำคัญ ทุกครั้งที่เราเลือกสินค้าฉลากเขียว เท่ากับเราสนับสนุนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะ SDG 12 : การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

ในโอกาสวันฉลากสิ่งแวดล้อมโลก (World Ecolabel Day) เพื่อย้ำเตือนถึงความสำคัญของ “ฉลากสิ่งแวดล้อม” ในการขับเคลื่อน การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production : SCP)

วันนี้จึงเป็นมากกว่าวันรณรงค์ แต่คือโอกาสที่เราทุกคนจะร่วมกันเลือกทางเดินใหม่ที่เป็นมิตรกับโลก เพียงแค่เลือกสินค้าที่มีฉลากสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน เราก็ได้ร่วมขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

แหล่งข้อมูล: 

1. Global Ecolabelling Network

2. สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)

3.Thai Green Directory