กรมควบคุมมลพิษ ชง 'ลดภาษี-ให้คาร์บอนเครดิต' ดึงธุรกิจบริจาคอาหารส่วนเกิน

กรมควบคุมมลพิษเสนอ 2 มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจบริจาคอาหารส่วนเกินแทนการทิ้งเป็นขยะ ผลักดันการลดหย่อนภาษี (Tax Incentive) และเชื่อมโยงการลดขยะอาหารเข้ากับระบบคาร์บอนเครดิต
KEY
POINTS
- กรมควบคุมมลพิษเสนอ 2 มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจบริจาคอาหารส่วนเกินแทนการทิ้งเป็นขยะ
- เตรียมเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อผลักดันการลดหย่อนภาษี (Tax Incentive) ให้ธุรกิจนำค่าใช้จ่ายจากการบริจาคอาหารมาหักภาษีได้
- เตรียมเชื่อมโยงการลดขยะอาหารเข้ากับระบบคาร์บอนเครดิต เพื่อให้โครงการต่างๆ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้
เสวนาหัวข้อ “นโยบายการจัดการเพื่อลดขยะอาหารอย่างยั่งยืน” ได้เกิดขึ้นภายในงาน Thailand Zero Food Waste Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง ลดทิ้ง สร้างค่า เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส” จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" ร่วมกับ "ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CP Axtra)" มี “สุรินทร์ วรกิจธำรง” อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยเริ่มจากฉายภาพรวมของสถานการณ์ขยะทั่วโลกว่า มีปริมาณขยะรวมอยู่ที่ 2.1 พันล้านตัน โดยขยะของประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 1.3 ของขยะโลก หรือประมาณ 27 ล้านตันต่อปี
ในจำนวนขยะ 27 ล้านตันนี้ ขยะอาหารคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 37 ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณ 7-10 ล้านตัน เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ สหรัฐอเมริกามีขยะอาหารร้อยละ 34 ส่วนประเทศญี่ปุ่นและเดนมาร์กมีขยะอาหารประมาณร้อยละ 25
“แม้ไทยจะมีสัดส่วนขยะอาหารสูง แต่ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเดนมาร์ก แทบจะไม่มีขยะเหลือทิ้งเลย โดยวิธีการจัดการขยะของแต่ละประเทศแตกต่างกัน สหรัฐอเมริกา เน้นจัดการที่ปลายทาง โดยใช้เทคโนโลยี AI ในการคัดแยกขยะอย่างชาญฉลาด เพื่อนำไปจัดการต่อจนขยะเป็นศูนย์ ขณะที่ญี่ปุ่นและเดนมาร์ก เน้นการแยกขยะที่ต้นทาง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนักท่องเที่ยวที่ไปญี่ปุ่นใหม่ๆ จึงมักหาถังขยะไม่เจอ และต้องพกถุงพลาสติกนำขยะกลับไปทิ้งที่บ้าน”
ขยะอาหารมูลค่า 3 แสนล้านบาท
“สุรินทร์” บอกว่า ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ มูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปจากขยะอาหาร 37% นี้ หากลองคำนวณง่ายๆ คนไทยบริโภคอาหารประมาณ 1.5 กิโลกรัมต่อวัน หรือประมาณ 0.5 ตันต่อปี ขยะอาหาร 7 ล้านตันที่เกิดขึ้นนั้น หากสามารถจัดการให้เป็นศูนย์ได้ จะสามารถนำกลับมาเป็นอาหารสำหรับคนได้มากถึง 14 ล้านคน
นอกจากนี้ เมื่อคำนวณเป็นตัวเงิน โดยสมมติว่าค่าอาหารต่อคนอยู่ที่ 100 บาทต่อวัน (มื้อละ 50 บาท สองมื้อ) จะคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อคน 36,000 บาทต่อปี เมื่อคูณกับจำนวนประชากร 10 กว่าล้านคนที่สามารถได้รับประโยชน์จากอาหารที่ไม่ถูกทิ้งขว้าง มูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่อย่างน้อย 300,000 ล้านบาท
“ตัวเลขความสูญเสียนี้ทำให้เรื่องขยะอาหารเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ซึ่งเรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรองนายกฯ สุชาติ ชมกลิ่น ที่เห็นตัวเลขทั้งหมดแล้ว”
แผนงาน "Zero Food Waste"
“สุรินทร์” อธิบายต่อว่า การจัดการขยะของประเทศไทย ปัจจุบันดีขึ้นกว่าเดิม โดยมีปริมาณขยะที่ถูกนำไปจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.51 เป็นร้อยละ 20.93 หรือประมาณ 77% อย่างไรก็ตาม การจัดการขยะส่วนใหญ่ยังคงเป็นการฝังกลบ (landfill site) ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นการจัดการที่ดี
ทั้งนี้ เพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ภาครัฐกำลังจะมีการดำเนินการครั้งใหญ่ ดังนี้
1. โครงการนำร่อง: ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กระทรวง ทรัพย์) จะมีการ kick off โครงการที่จะทำให้กระทรวงดังกล่าวเป็น "กระทรวง zero food" แห่งแรกของประเทศไทย
2. ขยายผลสู่พื้นที่สาธารณะ: จะมีการกำหนดให้อุทยานทุกแห่ง (ทุกอุทยาน) เป็นเขต "zero fest" (zero waste)
“รัฐบาลได้ยกระดับเรื่อง Food Waste เป็นวาระสำคัญระดับชาติ โดยตั้งเป้าหมายลดขยะโดยรวมลง 30% และเตรียมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นกระทรวง Zero Waste แห่งแรกเพื่อเป็นต้นแบบ”
กลไกเศรษฐศาสตร์ขับเคลื่อน
“สุรินทร์” ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษจะมุ่งเน้นการทำงานกับ 3 กลุ่มผู้สร้างขยะรายใหญ่ที่มีสัดส่วนรวม 90% ได้แก่ ครัวเรือน/ผู้บริโภค (70%) ร้านอาหาร/โรงแรม/HoReCa (20%) และสถานศึกษา (10%) โดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ 2 กลไกหลัก
กลไกที่ 1: Tax Incentive - แก้ปมบริจาคอาหาร
ปัญหาสำคัญที่ขัดขวางการบริจาคอาหารส่วนเกินคือกฎหมายปัจจุบันจำกัดการนำค่าใช้จ่ายด้านการบริจาคมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้องค์กรขนาดใหญ่ไม่สามารถบริจาคอาหารที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มที่
กรมควบคุมมลพิษจึงเตรียมเจรจากับกระทรวงการคลังเพื่อผลักดันให้แก้ไขกฎเกณฑ์ โดยใช้หลักการเปรียบเทียบเชิงเศรษฐศาสตร์ระหว่าง “รายได้ที่รัฐเสียไปจากการลดหย่อนภาษี” กับ “ค่าใช้จ่ายที่รัฐประหยัดได้ในการดูแลกลุ่มเปราะบาง” เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจบริจาคอาหารมากขึ้น
กลไกที่ 2: Carbon Credit - สร้างมูลค่าจากความยั่งยืน
การลดขยะอาหารคือการลดการปล่อยก๊าซมีเทนโดยตรง ภาครัฐจึงเตรียมเชื่อมโยงการจัดการขยะเข้าสู่ระบบคาร์บอนเครดิตเพื่อเป็นเครื่องมือเติมเต็มทางเศรษฐกิจ
กรมควบคุมมลพิษจะร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อช่วยให้โครงการลดขยะสามารถแปลงผลการจัดการเป็นคาร์บอนเครดิตได้ หากโครงการนั้นมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ใน 3 ด้าน คือ ลดขยะได้จริง แปลงเป็นคาร์บอนเครดิตได้ และใช้นวัตกรรม
“สุรินทร์" กล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำเร็จในการเปลี่ยนวิกฤติขยะอาหารมูลค่า 3 แสนล้านบาทให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการผลักดันกลไก Tax Incentive และ Carbon Credit ที่แข็งแกร่งจากภาครัฐ ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้และแนวทางปฏิบัติในกลุ่มผู้บริโภคและธุรกิจขนาดใหญ่
ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ







