พลิกฟาร์มจิ้งหรีดสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 'แมลงวันลาย (BSF)' ขุมทรัพย์ใหม่ ลดต้นทุน 50% ด้วยเศษอาหารจากแม็คโคร-โลตัส

ฟาร์มไทยเปลี่ยน "ขยะอาหาร" จากห้างค้าปลีก เป็นอาหารพรีเมียมให้จิ้งหรีด ลดรายจ่ายค่าอาหารสัตว์ลงครึ่งหนึ่ง แถมจิ้งหรีด "อ้วน-ไข่ดก-ไร้โรค" สร้างวงจร Zero Waste ที่ทำกำไรได้ตั้งแต่หนอนยันผักเคล
KEY
POINTS
- ฟาร์มจิ้งหรีดนำหนอนแมลงวันลาย (BSF) ที่เลี้ยงด้วยเศษอาหารส่วนเกินจากห้างแม็คโครและโลตัส มาใช้เป็นอาหารหลัก ทำให้ลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ลงได้ถึง 50%
- การใช้หนอน BSF เป็นอาหารส่งผลให้จิ้งหรีดมีสุขภาพดี แข็งแรง (อ้วน) อัตราการตายน้อยลง และสามารถออกไข่ได้ในปริมาณที่มากขึ้น (ไข่ดก)
- โมเดลนี้สร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนครบวงจร โดยนำมูลหนอน BSF ไปเป็นปุ๋ยปลูกผักเคล ก่อนจะนำผลผลิตไปแปรรูปเป็นสินค้าใหม่เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม
เสวนาในหัวข้อ “ลดขยะอาหาร สร้างมูลค่า สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน” ได้เกิดขึ้นภายในงาน Thailand Zero Food Waste Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง ลดทิ้ง สร้างค่า เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาส” จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" ร่วมกับ "ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CP Axtra)" มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากภาคส่วนต่างๆ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์
ตัวแทนจากภาคเกษตรกร "นุชกัญญา ลิ้มสุวัฒนา" เจ้าของศิวะพณ ฟาร์ม ได้แบ่งปันกรณีศึกษาฟาร์มไทยเปลี่ยน "ขยะอาหาร" จากห้างค้าปลีก เป็นอาหารพรีเมียมให้จิ้งหรีด ลดรายจ่ายค่าอาหารสัตว์ลงครึ่งหนึ่ง แถมจิ้งหรีด "อ้วน-ไข่ดก-ไร้โรค" สร้างวงจร Zero Waste ที่ทำกำไรได้ตั้งแต่หนอนยันผักเคล
BSF โมเดล จาก 'Food Surplus' สู่ 'Super Food' ของจิ้งหรีด
ศิวะพณ ฟาร์ม อยู่อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการปศุสัตว์ขนาดเล็ก ด้วยการบูรณาการการเลี้ยง หนอนแมลงวันลาย (Black Soldier Fly - BSF) เข้ากับระบบฟาร์มเดิมอย่างสมบูรณ์ จนเกิดเป็นโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่สร้างความยั่งยืนและเพิ่มผลกำไรได้อย่างก้าวกระโดด
"นุชกัญญา" กล่าวว่า หัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้คือการเปลี่ยน "อาหารส่วนเกิน (Food Surplus)" จากห้างค้าปลีกสมัยใหม่อย่างโลตัสและแม็คโคร สาขาชุมแพ ให้กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศสำหรับหนอน BSF โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิต
การลดต้นทุนและผลกระทบเชิงสุขภาพ
เดิมทีค่าอาหารสำเร็จรูปเชิงพาณิชย์สำหรับจิ้งหรีดเป็นภาระต้นทุนที่หนักที่สุด แต่หลังจากการนำหนอน BSF มาเป็นส่วนผสมหลักในสูตรอาหาร ฟาร์มสามารถ ลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ลงได้ถึง 50% อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การบริโภค BSF ซึ่งนักวิชาการชี้ว่ามีสารพิเศษที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ยังส่งผลให้
- จิ้งหรีดมีสุขภาพดี "อ้วน" และแข็งแรง
- อัตราการตายน้อยลงอย่างชัดเจน
- อัตราการเจริญพันธุ์พุ่งสูง สามารถเก็บไข่ได้มากและสม่ำเสมอ ("ไข่ดก") ต่างจากในอดีตที่บางรอบไม่สามารถเก็บไข่ได้เลย
กุญแจสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือกับห้างใหญ่
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จคือการที่ฟาร์มได้เข้าร่วมโครงการความร่วมมือ (MOU) ในการรับอาหารส่วนเกินจาก โลตัสและแม็คโคร สาขาชุมแพ ซึ่งมีปริมาณวัตถุดิบที่หลากหลายและเพียงพอต่อการเลี้ยงหนอน BSF นับเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยน "ของเสีย (Waste)" ให้เป็น "ทรัพยากรที่มีค่า (Resource)" โดยอาศัยการจัดการเศษอาหารอย่างมีระบบ
อาหารส่วนเกินจากเบเกอรี่ ผัก ผลไม้ ไปจนถึงอาหารปรุงสุก ถูกนำมาผ่านกระบวนการจัดการที่ง่ายขึ้นด้วยความร่วมมือจากห้าง (เช่น โลตัสช่วยแยกของเหลวออก) และการสับย่อยเศษอาหารชิ้นใหญ่ในฟาร์ม เพื่อให้หนอน BSF สามารถย่อยสลายได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
สร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่ จากมูลหนอนสู่ขนมผักเคล
โมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนของฟาร์มไม่ได้หยุดแค่ที่ตัวหนอน BSF แต่ขยายไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลพลอยได้ (By-products) ทั้งหมด
- ปุ๋ยคุณภาพสูง: มูลหนอน BSF ถูกเก็บไว้ใช้เองทั้งหมด เพราะถือเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงมาก ส่วนมูลจิ้งหรีดมีปริมาณมากและถูกจำหน่ายสร้างรายได้เสริม
- ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่: ฟาร์มนำมูลหนอน BSF มาใช้ในการเพาะปลูก "ผักเคล" ซึ่งเป็นพืชที่มีมูลค่าสูง
- ขยายไลน์สินค้า: ผลผลิตผักเคลที่ได้จะถูกนำไป แปรรูปทำเป็น "ขนม" สำหรับจำหน่าย เพื่อสร้างรายได้เสริมและขยายผลิตภัณฑ์ของฟาร์ม
โมเดลแสดงให้เห็นถึงวงจรที่สมบูรณ์แบบ
อาหารส่วนเกิน → หนอน BSF → อาหารจิ้งหรีด → จิ้งหรีดคุณภาพสูง → ปุ๋ยอินทรีย์ → ผักเคล → ผลิตภัณฑ์แปรรูป
ซึ่งเป็นพิมพ์เขียวที่ชัดเจนของ Zero Waste และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม ฟาร์มแห่งนี้จึงไม่เพียงแค่เลี้ยงจิ้งหรีด แต่กำลัง "เก็บเกี่ยวเงินจากขยะอาหาร" และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับการเกษตรไทย







