‘สัตว์ป่า’ ใน ‘เกาหลีเหนือ’ สูญพันธุ์เกือบหมด ถูกล่าส่งขายตลาดมืด

“สัตว์ป่า” ใน “เกาหลีเหนือ” ถูกชาวบ้านและรัฐล่าเพื่อไปขายในตลาดมืดจนเกือบ “สูญพันธุ์” ผลักดันให้ระบบนิเวศล่มสลาย
KEY
POINTS
- สัตว์ป่าขนาดใหญ่ในเกาหลีเหนือ เช่น เสือโคร่ง เสือดาว หมี และกวาง กำลังใกล้สูญพันธุ์จากการถูกล่าอย่างหนัก
- สาเหตุหลักเกิดจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนต้องล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารและนำไปขายในตลาดมืดเพื่อความอยู่รอด
- ชิ้นส่วนสัตว์ป่าถูกค้าขายในตลาดมืดภายในประเทศและลักลอบส่งออกไปยังประเทศจีน โดยมีรัฐบาลเกาหลีเหนือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ป่าไม้ของ “เกาหลีเหนือ” เงียบสงัดไร้เสียงของสิ่งมีชีวิต เนื่องจาก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่แทบทุกชนิด เสือโคร่ง เสือดาว หมี กวาง หรือแม้แต่นากกำลังถูกล่าสัตว์จนเกือบสูญพันธุ์
งานวิจัยของโจชัว เอลฟ์-พาวเวลล์ อาจารย์ประจำภาควิชาการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศในเกาหลีเหนือกำลังเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เดิมเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกและมีการศึกษาน้อยที่สุด
“มีความเสี่ยงสูงที่ป่าของเกาหลีเหนือจะถูกทำลายจนหมดสิ้น หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ความหลากหลายทางชีวภาพจะสูญหายไปและส่งผลกระทบต่อคนในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ จีน และรัสเซียอีกด้วย” เอลฟ์-พาวเวลล์ กล่าว
ทั้งนี้ ผลการวิจัยนี้ไม่ได้มาจากการลงพื้นที่สำรวจเกาหลีเหนือ แต่มาจากคำให้การของผู้แปรพักตร์ 42 คน ซึ่งบางคนเคยเป็นนักล่าสัตว์มาก่อนหรือยอมรับว่าค้าขายผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่า
สัตว์ป่าหายไป
การศึกษาของเอลฟ์-พาวเวลล์พบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเกือบทุกสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเม่นล้วนตกเป็นเป้าหมายของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะถูกล่าเป็นอาหารเพื่อความอยู่รอด นำไปขายต่อในตลาดมืด หรือถูกจับไปใช้งาน รวมถึงแมวใหญ่ เช่น เสือโคร่งอามูร์และเสือดาวอามูร์ รวมถึงหมี นาก กวาง และกวางผา
เช่นเดียวกับ “เซเบิล” หมาไม้ชนิดหนึ่งที่เคยมีอยู่มากมายบนคาบสมุทรเกาหลี แต่เอลฟ์-พาวเวลล์เชื่อว่ามัน “สูญพันธุ์” ไปแล้วในภาคเหนือของเกาหลีเหนือ เนื่องจากถูกล่าเพื่อเอาขนไปทำเสื้อผ้า
เซเบิลถูกล่าเพื่อนำเอาขนไปทำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
ผู้แปรพักตร์หลายคนบอกกับเอลฟ์-พาวเวลล์ว่าพวกเขาล่าสัตว์เพราะไม่มีทางเลือกอื่น โดยเขากล่าวว่า “ผู้คนในเกาหลีเหนือกำลังเผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจ เพื่อความอยู่รอด พวกเขาจำเป็นต้องล่าสัตว์ป่า ซึ่งถือเป็นทรัพยากรเพียงอย่างเดียวที่มี”
จุดเริ่มต้นของการล่าสัตว์ป่าเริ่มต้นจากยุค “การเดินทัพอันเหนื่อยยาก” (Arduous March) ช่วงเวลาที่เกิดเหตุทุพภิกขภัยครั้งรุนแรงระหว่างปี 1995-2000 ทำให้ผู้คนหลายล้านคนอดอยาก มีการประมาณการว่ายอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3.5 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 22 ล้านคน ซึ่งมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจล่มสลาย เก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อย เกิดน้ำท่วมและภัยแล้ง ตลอดจนการล่มสลายของสหภาพโซเวียตจนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้
เนื่องจากไม่สามารถพึ่งพารัฐในด้านอาหาร ยา และสิ่งจำเป็นพื้นฐานอื่น ๆ ได้อีกต่อไป ประชาชนจำนวนมากจึงหันไปซื้อขายสินค้า ซึ่งบางครั้งถูกขโมยมาจากโรงงานของรัฐ หรือลักลอบนำเข้าข้ามพรมแดนกับจีน ท่ามกลางเศรษฐกิจนอกระบบที่กำลังเติบโต
รวมถึงสัตว์ป่าและพืชพรรณ ที่เป็นทรัพยากรอาหารอันทรงคุณค่า ในขณะที่บางคนเห็นคุณค่าของสัตว์ป่าจากการนำไปใช้ในยาแผนโบราณของเกาหลี หรือเพื่อผลิตสินค้า เช่น เสื้อผ้าฤดูหนาว ที่สำคัญ สัตว์ป่ายังสามารถขายเพื่อสร้างรายได้อันมีค่าได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ นอกจากตลาดมืดภายในประเทศที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ป่าและชิ้นส่วนสัตว์แล้ว ยังมีการค้าระหว่างประเทศที่พัฒนาขึ้น ซึ่งผู้ลักลอบนำเข้าจะพยายามขายผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าของเกาหลีเหนือข้ามพรมแดนไปยังจีน
ไม่ใช่แค่ชาวบ้านที่อดอยากเท่านั้นที่ค้าสัตว์ป่า รัฐบาลเกาหลีเหนือเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้าสัตว์ป่า แม้ว่าจากการสัมภาษณ์จะเห็นได้ชัดว่าผู้เข้าร่วมมักไม่ทราบสถานะทางกฎหมายของการค้าสัตว์ป่าในสายพันธุ์ต่าง ๆ แต่จากการวิเคราะห์พบว่าการค้าสัตว์ป่าบางส่วนดูเหมือนจะผิดกฎหมาย
เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่ได้เป็นภาคีของไซเตส จึงไม่จำเป็นต้องทำตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ดังนั้นหากมีสัตว์ตายในสวนสัตว์ พวกเขาจึงสามารถส่งขายได้
“มันน่าตกใจ แต่บางทีมันอาจจะไม่น่าแปลกใจนัก เรารู้ว่าสินค้าในตลาดมืดที่สามารถซื้อขายได้ถูกนำมาจากหน่วยงานของรัฐในเกาหลีเหนือ” เอลฟ์-พาวเวลล์กล่าว
แม้ว่าเกาหลีเหนือจะออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์มาตั้งแต่ปี 1959 เมื่อคิม อิลซุง สั่งห้ามการล่านากและเซเบิล แต่การบังคับใช้กฎหมายกลับไม่มีประสิทธิผล
บางครั้งรัฐก็เลี่ยงกฎหมายด้วยการจัดตั้งฟาร์มเลี้ยงนาก กวาง หมี และไก่ฟ้า โดยนำชิ้นส่วนไปขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามที่ผู้แปรพักตร์กล่าว นอกจากนี้ เอลฟ์-พาวเวลล์ยังกล่าวว่า เกาหลีเหนือเป็นผู้ริเริ่มการเลี้ยงหมีเพื่อเอาน้ำดี ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาใช้ทั่วเอเชีย
อีกทั้งรัฐยังเก็บหนังสัตว์ผ่านระบบโควตา โดยประชาชนต้องส่งหนังสัตว์ให้กับหน่วยงานรัฐบาล ขณะที่นักล่าที่รัฐอนุมัติและชุมชนท้องถิ่นบางครั้งก็มอบผลิตภัณฑ์สัตว์ป่าให้กับรัฐหรือผู้นำของรัฐเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการ โดยหนังและกระดูกสัตว์จำนวนมากถูกส่งข้ามพรมแดนไปยังประเทศจีน ซึ่งอาจปกปิดแหล่งที่มาได้ง่าย
ถึงแม้จะมีรายงานการยึดของกลางอยู่เป็นครั้งคราว โดยในปี 2012 ศาลจีนได้ตัดสินว่ามีความผิดฐานลักลอบขนส่งกระดูกสัตว์ แต่การจับกุมกลับมีน้อยมาก
การค้าสัตว์ป่าในเกาหลีเหนือเกิดขึ้นจากความยากลำบากของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลเกาหลีเหนือก็ล้มเหลวในการบังคับใช้และปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ดังนั้นเกาหลีเหนือเป็นจุดบอดของการอนุรักษ์ทั่วโลก เป็นเหมือนแดนสนธยาที่ไม่มีใครสามารถรับรู้ความเป็นไป หรือยืนมือเข้าไปช่วยเหลือได้เลย
ที่มา: South China Morning Post, The Conversation, The Times







