โอกาสทอง ตลาดโปรตีนพืชไทยโตแรง ยอดขายพุ่ง 30% ตอบสนองเทรนด์อาหารรักษ์โลก

ตลาดโปรตีนจากพืชในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในช่วงปี 2021-2024 การเติบโตนี้สอดคล้องกับเทรนด์อาหารรักษ์โลก เนื่องจากโปรตีนทางเลือกช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเนื้อสัตว์
KEY
POINTS
- ตลาดโปรตีนจากพืชในไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในช่วงปี 2021-2024
- การเติบโตนี้สอดคล้องกับเทรนด์อาหารรักษ์โลก เนื่องจากโปรตีนทางเลือกช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเนื้อสัตว์
- คาดการณ์ว่าตลาดจะขยายตัวต่อเนื่องอีก 43% ใน 5 ปีข้างหน้า ถือเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ผลิตไทยในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ
- ราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์โปรตีนพืชมีแนวโน้มลดลง ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด โดย Madre Brava องค์กรพัฒนาเอกชนด้านอาหารและสภาพภูมิอากาศระดับนานาชาติ เผยว่า ตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์และอาหารทะเล ข้อมูลใหม่นี้แสดงให้เห็นว่า ปริมาณการขายทั้งหมดของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 30% นับตั้งแต่ปี 2021 ถึงปี 2024 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด
นอกจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ทดแทนก็เริ่มลดลงเช่นกัน หลังจากที่ราคาเคยพุ่งขึ้นสูงสุดในปี 2022 ปัจจุบันราคาเฉลี่ยลดลงมา 8% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
โอกาสทองสำหรับผู้ผลิตเนื้อสัตว์ไทย
แม้ว่าหมวดหมู่อาหารนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น เมื่อเทียบกับปริมาณเนื้อสัตว์และอาหารทะเลทั่วไปที่จำหน่ายในประเทศแต่ละปี แต่นี่เป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตเนื้อสัตว์ของไทย ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากตลาดที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคต
อ้างอิงจาก Euromonitor บริษัทวิเคราะห์การตลาดระดับโลก คาดการณ์ว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์และอาหารทะเลจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 43% ในช่วงปี 2025 ถึง 2029 นี่จึงเป็นโอกาสสำหรับบริษัทผู้ผลิตของไทยในการผลิตสินค้าเพื่อป้อนตลาดที่กำลังเติบโต พร้อมคว้าโอกาสช่วยประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)
กุญแจสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
การบริโภคและการผลิตเนื้อสัตว์ที่มากเกินไปถือเป็นภัยคุกคามต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคน ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีการบริโภคมาเน้นอาหารจากพืชเป็นหลัก เพื่อรับมือกับวิกฤตสุขภาพและสภาพภูมิอากาศ
ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากภาคพลังงาน ในภาคเกษตรกรรมไทย การทำปศุสัตว์เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงอันดับสอง รองจากการปลูกข้าว
เมื่อรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตอาหารสัตว์ (ซึ่งภาคปศุสัตว์ของไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารสัตว์กว่า 60%) ภาคปศุสัตว์ทั้งหมดปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 39 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ต่อปี หากภาคเนื้อสัตว์ยังคงเติบโตตามคาดการณ์ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 14.7% จาก 39.1 ล้านตัน CO2e ในปี 2020 เป็น 44.9 ล้านตัน CO2e ในปี 2050
ดังนั้น การหันมาส่งเสริมการผลิตโปรตีนจากพืชเพื่อการบริโภคของมนุษย์โดยตรง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมของประเทศไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ามาก
การวิเคราะห์ของ Good Food Institute ชี้ว่าผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเนื้อหมู 88% และเนื้อไก่ 67% ตามลำดับ และลดการใช้น้ำได้มากกว่า 94%
งานวิจัยของ Madre Brava ภายใต้หัวข้อ “ครัวแห่งอนาคต” พบว่า หากประเทศไทยเปลี่ยนการผลิตเนื้อสัตว์และอาหารทะเลครึ่งหนึ่งไปเป็นโปรตีนจากพืชภายในปี 2050 ประเทศไทยจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้รวม 35.5 ล้านตัน CO2e ซึ่งจะช่วยจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ในระดับปลอดภัย
โอกาสทางเศรษฐกิจและตลาดส่งออก
การสร้างความหลากหลายของแหล่งโปรตีนยังเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเปลี่ยนมาผลิตพืชมากขึ้นและลดผลิตภัณฑ์จากสัตว์ลง จะช่วยสร้างงานสุทธิในภาคการผลิตโปรตีนจากพืชในประเทศได้ถึง 1.15 ล้านตำแหน่งภายในปี 2050
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งมาจากการประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อวัตถุดิบนำเข้า เช่น อาหารสัตว์ ทำให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
ในด้านการค้า ผู้ผลิตโปรตีนไทยยังมีโอกาสสำคัญในตลาดส่งออกยุโรป ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำหลายแห่งในยุโรป เช่น Lidl และ Ahold Delhaize ได้ประกาศเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์จากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (Scope 3) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า บางแห่งยังตั้งเป้าที่จะเสนอขายสินค้าโปรตีนทางเลือกในระดับราคาเดียวกับผลิตภัณฑ์จากสัตว์
ด้วยชื่อเสียงในฐานะ "ครัวของโลก" และการเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสัตว์ปีกรายใหญ่ไปยังยุโรป ผู้ผลิตโปรตีนชั้นนำในประเทศไทยจึงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์พร้อมทานรสชาติไทย ที่ทำจากโปรตีนทางเลือกเพื่อคว้าโอกาสสูงสุดในตลาดส่งออกยุโรป
การบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปยังคงเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ตลาดโปรตีนทางเลือกขยายตัว ปริมาณการขายเนื้อสัตว์แปรรูปซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ปริมาณการขายเนื้อแดงแปรรูปและสัตว์ปีกแปรรูปเพิ่มขึ้น 24% และ 28% ตามลำดับตั้งแต่ปี 2021 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 25% และ 30% ในอีกห้าปีข้างหน้า
การบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูปปริมาณมากไม่เพียงแต่เพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า และมลพิษทางน้ำและอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพของคนไทยด้วย
จากการศึกษาภาระโรคทั่วโลกพบว่า การบริโภคอาหารที่มีเนื้อสัตว์แปรรูปปริมาณมากทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 295,000 รายทั่วโลกในปี 2021 และส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ (NCDs) เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวานชนิดที่ 2 และมะเร็งบางชนิดเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผลิตภัณฑ์ทางเลือกจากพืชมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป มีใยอาหารสูงกว่า ไขมันและไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า และมีแคลอรีต่ำกว่า
ช่องว่างราคากำลังลดลง
ผู้ผลิตโปรตีนทางเลือกควรใช้โอกาสนี้สร้างความหลากหลายให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของตน และมุ่งมั่นทำให้ราคาระหว่างเนื้อสัตว์ (ทั้งเนื้อสดและเนื้อแปรรูป) กับผลิตภัณฑ์ทดแทนจากพืชมีความทัดเทียมกัน ช่องว่างราคาที่กำลังลดลงนี้เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัย คือ ต้นทุนต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์จากพืชลดลงเมื่อมีการผลิตในปริมาณมาก (economies of scale) และต้นทุนการผลิตเนื้อสัตว์ทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ค่าอาหารสัตว์นำเข้าและค่าแรง
การเสนอทางเลือกโปรตีนที่ยั่งยืน ราคาเข้าถึงได้ อร่อย และสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคชาวไทย ถือเป็นสิ่งจำเป็นในขณะนี้







