สามเลนส์อนาคต | คิดอนาคต

สามเลนส์อนาคต | คิดอนาคต

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนด้วยปัญญาประดิษฐ์ วิกฤติโลกร้อน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจอันผันผวน ทำให้เราต้องย้อนถามตนเองว่า ควรจะมองอนาคตไกลแค่ไหน บ้างว่าสัก 1 ปี หรือ 3 ปี

เพราะทุกสิ่งก็อาจเปลี่ยนแล้ว บ้างว่าต้องอย่างน้อย 10 ปีเพื่อสร้างรากฐาน ขณะที่บางเสียงยืนกรานว่าอนาคตของโลกต้องคิดไกลเป็นร้อยปี

ความจริง คำตอบไม่อยู่ที่จำนวนปี แต่อยู่ที่กรอบคิดว่าจะใช้เวลาเป็นเลนส์ใดในการกำหนดทิศทางชีวิตและสังคม การวางอนาคตยุคนี้ควรอาศัยกรอบ สามเลนส์เวลา หรือสูตร 3-10-30 สามารถเปิดมุมมองทั้งสั้น กลาง และยาวในคราวเดียว

ระยะ 3 ปีทำให้การตัดสินใจเป็นจริงได้ ระยะ 10 ปีทำให้กลยุทธ์มีทิศทาง และระยะ 30 ปีทำให้วิสัยทัศน์ไม่ติดกับดักสายตาสั้น แต่มีความหมายต่อการพัฒนาประเทศสำหรับคนรุ่นต่อไป

เมื่อมองผ่านเลนส์ 3 ปี อนาคตยังใกล้พอให้ควบคุมได้ การรับมือกับเอไอจึงหมายถึงการอัปสกิล เติมทักษะใหม่ หรือพลิกมาใช้เอไอเป็นเครื่องมือ มากกว่าจะปล่อยให้กลายเป็นคู่แข่ง ในมิติสิ่งแวดล้อม ระยะสั้นคือการปรับพฤติกรรมทันที ลดการใช้พลังงาน เปลี่ยนระบบขนส่ง

หรือทำให้ธุรกิจลดคาร์บอนเพื่ออยู่รอดในตลาดที่เปลี่ยนแปลง เลนส์ 3 ปีเป็นช่วงลงมือทำ เพื่อไม่ให้ชีวิตและองค์กรถูกคลื่นการเปลี่ยนแปลงโถมใส่จนอวสาน

ขยับสู่เลนส์ 10 ปี เลนส์นี้คือ กลยุทธ์และทิศทาง เมื่อเวลาผ่านไปอีกทศวรรษ เอไอจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกับไฟฟ้า ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วเราจะยืนตรงไหนและสร้างบทบาทใหม่ในระบบนั้นอย่างไร ด้านสิ่งแวดล้อม 10 ปีคือเส้นตายสำคัญ หากไม่เร่งเปลี่ยนผ่านพลังงานและเศรษฐกิจ

โลกจะก้าวข้ามจุดวิกฤติภูมิอากาศที่ไม่อาจย้อนคืนได้ การคิด 10 ปีไม่เพียงเป้าหมายรายได้หรืออาชีพ แต่คือการกำหนดทิศทางชีวิตให้ยังมีคุณค่าและยั่งยืนในโลกที่โครงสร้างใหม่กำลังผุดบังเกิดขึ้น

พอเลนส์ขยายไปถึง 30 ปี คำถามเปลี่ยนจากจะทำอะไร? ไปเป็นจะเหลืออะไรไว้ให้ใคร? เป็นเส้นของวิสัยทัศน์ที่เกี่ยวพันกับความหมายของชีวิตและมรดกทางสังคม หากปล่อยให้โลกร้อนขึ้นต่อเนื่อง อีกสามทศวรรษ เมืองชายฝั่งอาจจมหายและทรัพยากรพื้นฐานอาจไม่เพียงพอ การคิดระยะยาวจึงจำเป็น ไม่ใช่เพียงป้องกันภัย

แต่เป็นการถามว่า การกระทำวันนี้จะรักษาโอกาสและความเป็นไปได้ให้คนรุ่นหลังหรือไม่ เช่นเดียวกัน ในมิติของเอไอ 30 ปีคือการตัดสินใจว่า ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยยกระดับชีวิตมนุษย์ให้สร้างสรรค์ขึ้น หรือกลับกลายเป็นโครงสร้างที่บั่นทอนเสรีภาพและศักดิ์ศรีของมนุษย์

การมองอนาคตเพียงระยะสั้น มักพาเข้าสู่กับดักสายตาสั้น การตัดสินใจจึงเต็มไปด้วยการตอบสนองเฉพาะหน้า ความสำเร็จเล็กน้อยวันนี้ อาจต้องแลกด้วยต้นทุนมหาศาลในวันพรุ่งนี้ เป็นการได้ระยะสั้น (short-term gain) ที่กลายเป็นสูญเสียระยะยาว (long-term loss)

องค์กรที่เร่งใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดเพื่อปิดตัวเลขกำไรในไตรมาส กลับทิ้งปัญหาสิ่งแวดล้อมและหนี้สินไว้ให้อนาคต คนที่ทุ่มเทกับงานจนละเลยสุขภาพ ได้เลื่อนขั้นในวันนี้ แต่ต้องจ่ายด้วยร่างกายที่อ่อนล้าและคุณภาพชีวิตที่ถดถอย รัฐบาลที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจนเต็มเพดานทางการคลัง ต้องจ่ายด้วยการที่ประเทศติดกับดักไม่พัฒนาก้าวหน้าสักที

การมองเพียงใกล้จึงเสมือนวิ่งหาเส้นชัยที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ว่าคือ “ทางตัน” กับดักนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นในวัฒนธรรม FOMO (Fear of Missing Out) ที่ผลักให้ผู้คนวิ่งตามกระแสไม่หยุด ไม่ว่าจะลงทุนคริปโตโดยไร้ความเข้าใจ การใช้เอไอตามแฟชั่นโดยไม่รู้เท่าทันหรือเป็นผู้ใช้มากกว่าผู้พัฒนา

เมื่อทุกอย่างหมุนเร็ว ความกลัวการพลาดยิ่งบีบให้สายตาแคบลง จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับการคิดถึงอนาคตอีก 10 หรือ 30 ปี การก้าวออกจากวังวน FOMO จึงเสมือนการรักษาเส้นทางระยะยาวให้คงอยู่ ไม่ถูกบิดเบี้ยวด้วยแรงเร้าจากภายนอก

ในระดับสังคมหรือประเทศ การใช้เลนส์นี้เชื่อมโยงโดยตรงกับโจทย์ใหญ่ เช่น การเปลี่ยนผ่านพลังงาน การจัดการเมืองอัจฉริยะ หรือการศึกษา คนรุ่นใหม่ที่เกิดวันนี้จะโตมาในอีก 30 ปีข้างหน้าในโลกที่เต็มไปด้วยเอไอและวิกฤติสิ่งแวดล้อม

หากการตัดสินใจวันนี้ไม่เผื่อระยะเวลาไกลขนาดนั้น กรอบชีวิตของคนรุ่นใหม่อาจถูกปิดตายตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น ดังนั้นผู้นำและรัฐบุรุษจึงมักขยายการมองไปถึง 50-100 ปี เพื่อสร้างความยั่งยืนที่ไม่ใช่แค่สำหรับคนรุ่นนี้ แต่เพื่อคนที่ยังไม่เกิด

ที่สุดแล้ว อนาคตไม่เคยขึ้นอยู่กับตัวเลขปี หากขึ้นอยู่กับสายตาที่เราจะเลือกใช้มอง เลนส์ 3 ปีสอนให้เราลงมือจริง เลนส์ 10 ปีมอบทิศทางที่มั่นคง และเลนส์ 30 ปีมอบความหมายที่ยั่งยืน สิ่งสำคัญคือการกล้าที่จะสลับเลนส์ให้เหมาะกับโจทย์ตรงหน้า

 

สามเลนส์อนาคต | คิดอนาคต

หากมัวแต่มองใกล้เกินไป อาจติดกับดักทางตัน หากมองไกลอย่างเดียว อาจพลาดโอกาสตรงหน้า อนาคตที่ยั่งยืนจึงเกิดขึ้นได้จากการใช้ทั้งสามเลนส์ควบคู่กัน อนาคตไม่ใช่สิ่งที่จะมาถึง แต่คือสิ่งที่เรากำลังสร้าง ทีละ 3 ปี 10 ปี และ 30 ปี