ทุนปัญญาสีเขียว: HR กุญแจใหม่ของธุรกิจบริการ

ในโลกธุรกิจยุคใหม่ สิ่งที่ทำให้องค์กรสร้างความแตกต่างและเติบโตด้านธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ ไม่ได้อยู่ที่อาคารสูงทันสมัยหรือเงินลงทุนมหาศาล แต่อยู่ที่ “ทุนที่จับต้องไม่ได้”

หรือภาษาทางวิชาการเรียกว่า ทุนทางปัญญา (Intellectual Capaital) ซึ่งหมายถึงพลังความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ระบบการทำงาน และเครือข่ายความสัมพันธ์ที่องค์กรสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือ สินทรัพย์ที่แท้จริงของยุคปัจจุบัน

เมื่อโลกเผชิญวิกฤติสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันด้านความยั่งยืนมากขึ้น แนวคิดทุนทางปัญญาก็ถูกต่อยอดไปสู่ ทุนปัญญาสีเขียว (Green Intellectual Capital - GIC) หรือหมายถึงการนำเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเข้ามาผสานกับทุนทางปัญญาเดิมอย่างเป็นระบบ 

ผลสำรวจงานวิจัยในธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยล่าสุดได้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า หากองค์กรบริการให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนปัญญาสีเขียว ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนหรือปรับปรุงภาพลักษณ์ แต่ยังสร้าง “ความได้เปรียบทางการแข่งขัน” ที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ หัวใจของทุนปัญญาสีเขียวประกอบด้วยสามเสาหลัก เสาหลักแรกคือ ทุนมนุษย์สีเขียว ที่หมายถึงความรู้และทักษะของบุคลากรในองค์กรที่มุ่งมั่นทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การจัดการทรัพยากร ไปจนถึงการคิดค้นวิธีใหม่ ๆ ที่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อโลก 

เสาหลักที่สองคือ ทุนโครงสร้างสีเขียว ซึ่งครอบคลุมระบบและเทคโนโลยีในองค์กรที่นำมาใช้เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนด้านธุรกิจ เช่น อาคารประหยัดพลังงาน ระบบรีไซเคิลน้ำ หรือมาตรฐานการปฏิบัติงานที่แฝงแนวคิดรักษ์โลกไว้ในทุกขั้นตอน

และเสาหลักที่สามคือ ทุนความสัมพันธ์สีเขียว หมายถึงเครือข่ายความร่วมมือกับลูกค้า คู่ค้า และชุมชนที่สร้างความไว้วางใจและผลักดันให้องค์กรเดินหน้าสู่ความยั่งยืนร่วมกัน

สิ่งที่งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นอย่างน่าสนใจก็คือ เมื่อองค์กรเลือกลงทุนใน “ทุนปัญญาสีเขียว” จะเห็นผลลัพธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นรูปธรรมทั้งสามด้านพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ (Economic) ธุรกิจสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างชัดเจน

ด้านสังคม (Social) พนักงานเกิดความภาคภูมิใจมากขึ้น ขณะเดียวกันชุมชนรอบข้างก็ให้การยอมรับและสนับสนุนสังคม  ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ก็เห็นผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน  ทั้งการลดของเสีย ลดการใช้พลังงาน เพื่อสนับสนุนแนวการปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG ระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างแนวปฏิบัติจริงในองค์กรอุตสาหกรรมต่างๆ ยิ่งตอกย้ำแนวคิดนี้ เช่น รีสอร์ตที่นำระบบ AI เข้ามาช่วยจัดการพลังงาน จนสามารถลดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 20% 

หรือองค์กรที่มีการจัดอบรมสิ่งแวดล้อมให้พนักงานอย่างต่อเนื่อง สามารถเพิ่มอัตราการรีไซเคิลได้เกือบครึ่งหนึ่ง เรื่องเหล่านี้สะท้อนชัดว่า “ทุนปัญญาสีเขียว” ไม่ใช่แนวคิดเชิงทฤษฎีที่อยู่แค่ในห้องวิจัย แต่เป็น “กลยุทธ์ทางธุรกิจ” ที่ใช้ได้จริงและสร้างคุณค่าได้อย่างแท้จริง

ในมุมของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ (HR) ทุนปัญญาสีเขียวไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของฝ่ายสิ่งแวดล้อมหรือฝ่ายการตลาด แต่คือพันธกิจสำคัญของ HR เชิงกลยุทธ์เองที่จะต้องออกแบบแนวปฏิบัติด้านงานบริหาร HR ระบบงานให้บ่มเพาะความรู้ การฝึกอบรมให้ทักษะด้านสิ่งแวดล้อมและทัศนคติสีเขียวในพนักงานทุกระดับ 

การสรรหาคนที่เห็นคุณค่าของความยั่งยืน การประเมินผลงานที่คำนึงถึงตัวชี้วัดเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม และการให้รางวัลส่งเสริมแก่พนักงานที่เสนอแนวทางการทำงานที่เป็นมิตรต่อโลก สิ่งเหล่านี้คือบทบาทที่ HR เชิงกลยุทธ์ ต้องลุกขึ้นมาเป็น “คนขับเคลื่อน” ไม่ใช่ผู้ตาม

ในยุคที่โลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การแข่งขันอาจจะไม่ได้แข่งกันที่ราคาและคุณภาพเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ลูกค้าจำนวนไม่น้อยเลือกตัดสินใจจาก “อุดมการณ์ความมุ่งมั่นด้าน ESG” ที่องค์กรยืนหยัด

หากมีธุรกิจบริการสองแห่งที่ให้บริการใกล้เคียงกัน แต่แห่งหนึ่งแสดงจุดยืนชัดเจนว่าลดการใช้พลาสติก ใช้พลังงานหมุนเวียน และคืนกำไรให้กับชุมชน ขณะที่อีกแห่งเงียบเฉยไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย คำถามก็คือ ลูกค้าส่วนใหญ่จะหันไปเลือกใคร?

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมทุนปัญญาสีเขียวจึงไม่ใช่ต้นทุนส่วนเกิน แต่คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะตอบโจทย์ทั้งลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียในทุกมิติ และสำหรับองค์กรบริการในประเทศไทย

แนวคิดนี้คือ ความได้เปรียบเชิงธุรกิจที่จะยกระดับองค์กรจากการเป็น “ผู้ให้บริการ” ไปสู่การเป็น “ผู้สร้างคุณค่า” ให้กับทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

สุดท้ายนี้ หากจะฝากข้อคิดไว้เพียงหนึ่งประโยคก็คงเป็นว่า “ทุนปัญญาสีเขียว คือสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่สร้างมูลค่าได้จริง และ HR คือผู้ถือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกคุณค่านี้ในองค์กรบริการไทย”

ที่มา : Green intellectual capital and sustainable performance: an empirical investigation within the hotel industry https://doi.org/10.1108/JIC-03-2025-0074