Water Stewardship: เมื่อ “น้ำ” คือความเสี่ยง ที่ตัดสินความอยู่รอดของอุตสาหกรรมอาหาร

Water Stewardship: เมื่อ “น้ำ” คือความเสี่ยง     ที่ตัดสินความอยู่รอดของอุตสาหกรรมอาหาร

“น้ำ” ได้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ภาวะขาดแคลนน้ำและภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ

ตั้งแต่ต้นทุนการผลิตไปจนถึงความสัมพันธ์กับชุมชนตลอดสายการผลิต การบริหารจัดการน้ำในวันนี้ จึงไม่สามารถหยุดอยู่แค่หลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) ภายในรั้วโรงงาน แต่บริษัทจำเป็นต้องมองให้ไกลถึง “การดูแลทรัพยากรน้ำอย่างรอบด้าน” (Water Stewardship) ซึ่งครอบคลุมทั้งการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี และการประเมินความเสี่ยงอย่างลึกซึ้ง

การส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน

การส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน คือ การเปลี่ยนจากการจัดการตามทฤษฎีหรือประสบการณ์ ไปสู่การบริหารจัดการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Management) ซึ่งเป็นแนวทางที่สร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืนได้ในระยะยาว โดยแนวทางที่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหารนำมาปรับใช้จริงประกอบด้วย:

· การลดการใช้น้ำ (Reduce): หัวใจสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน หลายองค์กรเริ่มนำระบบอัตโนมัติ เข้ามาควบคุมการจ่ายน้ำในกระบวนการผลิตอย่างแม่นยำ เพื่อลดการสูญเสียน้ำที่ไม่จำเป็น และใช้ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง

· การนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse & Recycle): แนวทางนี้คือการเปลี่ยนน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในอุตสาหกรรมอาหารคือ โครงการนำน้ำ Condensate กลับมาใช้ประโยชน์ โดยไอน้ำที่เกิดจากการนึ่งหรือต้มผลิตภัณฑ์จะถูกทำให้ควบแน่นกลับมาเป็นน้ำร้อน แล้วนำไปผ่านระบบ Cooling Tower เพื่อลดอุณหภูมิ ก่อนจะนำกลับไปใช้เป็นน้ำตั้งต้นในกระบวนการผลิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดการดึงน้ำดิบจากแหล่งธรรมชาติได้อย่างมหาศาล อีกหนึ่งตัวอย่างคือ การนำน้ำล้าง (Backwash) จากระบบกรองน้ำ กลับมาใช้ใหม่ โดยแทนที่จะปล่อยทิ้ง ก็นำน้ำส่วนนี้กลับลงบ่อพักน้ำดิบเพื่อรอเข้าสู่กระบวนการกรองอีกครั้ง ถือเป็นการหมุนเวียนน้ำทิ้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การประเมินความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน

ความเสี่ยงด้านน้ำที่อันตรายที่สุดของอุตสาหกรรมอาหารอาจไม่ได้อยู่ในโรงงาน แต่อยู่ในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรคู่ค้า การประเมินความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่อุปทานจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยมีตัวอย่างแนวทางที่เป็นรูปธรรมคือ:

1. ทำความเข้าใจและระบุพื้นที่เสี่ยง: บริษัทชั้นนำจะทำการประเมินความเสี่ยงด้านภัยแล้งตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบว่าวัตถุดิบหลักมาจากพื้นที่ใด และพื้นที่เหล่านั้นมีความเปราะบางด้านน้ำเพียงใด

2. ประเมินผลกระทบและวางแผนรับมือ: เมื่อระบุพื้นที่เสี่ยงได้แล้ว จะนำไปสู่การวางแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) ที่ชัดเจน เช่น ในกรณีที่ต้นทุนการจัดหาน้ำสูงขึ้นจากการขาดแคลน บริษัทจะมีการวางแผนสั่งซื้อน้ำดิบล่วงหน้าจากคู่ค้า หรือจัดหาจากแหล่งสำรองที่เตรียมไว้ เพื่อให้สายการผลิตสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่หยุดชะงัก

3. ทำงานร่วมกับคู่ค้าและชุมชน: การดูแลน้ำอย่างรอบด้านยังรวมถึงการเข้าไปทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและร่วมกันพัฒนาวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลไม่ให้การดำเนินงานของโรงงานกระทบต่อแหล่งน้ำตามธรรมชาติของชุมชน

ในสายตาของผู้ลงทุน ความสามารถของบริษัทในการนำเทคโนโลยีมาใช้และประเมินความเสี่ยงด้านน้ำได้อย่างเป็นระบบ ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงฝีมือในการบริหารจัดการ ความเป็นเลิศ ในการดำเนินงานและความพร้อมของธุรกิจที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกที่ทรัพยากรน้ำมีจำกัดและลดน้อยลงทุกวัน

*บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง SET ESG Experts Pool และ SET ESG Academy ในการนำเสนอประเด็น ESG ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของไทย

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://s.setth.org/xwq