‘ศุภชัย’ ชี้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน แนะองค์กรเร่งปรับ รัฐหนุนการเงินสีเขียว

‘ศุภชัย’ ชี้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน แนะองค์กรเร่งปรับ รัฐหนุนการเงินสีเขียว

"ศุภชัย" ชี้ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากการปรับนโยบายของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทยในการดึงดูดการลงทุนที่ย้ายฐานการผลิต องค์กรธุรกิจต้องเร่งปรับตัวสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลองและเรียนรู้จากการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก

KEY

POINTS

  • "ศุภชัย" ชี้ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากการปรับนโยบายของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทยในการดึงดูดการลงทุนที่ย้ายฐานการผลิต
  • องค์กรธุรกิจต้องเร่งปรับตัวสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลองและเรียนรู้จากการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก
  • เสนอให้ภาครัฐส่งเสริมการเงินสีเขียว (Green Financing) และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อจูงใจการลงทุนและช่วยให้ SMEs ไทยปรับตัวได้

บริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายมิติ สร้างความท้าทายอย่างมากให้กับภาคธุรกิจ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สรุปข้อเสนอและมุมมองที่น่าสนใจของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บทเวที TSCN Business Partner Conference 2025 การเสวนา CEO Panel “ปรับแนวคิด พลิกธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนโลก” ภายในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025)

นายศุภชัย กล่าวว่า ปัจจุบันโลกมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ การเงิน และเทคโนโลยีอยู่ 2 ขั้วประเทศ ซึ่งการปรับตัวของสองประเทศนี้กระทบต่อทั่วโลก ส่งผลให้ระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Network) ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นายศุภชัย กล่าวว่า ในวันนี้เรากลับได้เห็นประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐกำลังเดินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อปกป้องและสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้และการกีดกันทางการค้า เนื่องจากภาวะขาดดุลการค้าอย่างหนัก หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ชะลอตัว

โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนไป ในขณะเดียวกัน เครือเจริญโภคภัณฑ์เองต้องก็ได้รับผลกระทบและต้องปรับเปลี่ยนการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ จากเดิมยุโรปหรือบราซิล ไปนำเข้าจากสหรัฐแทน

อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตมีโอกาสอยู่ โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับอานิสงส์อย่างมากจากการที่ระบบห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเปลี่ยน เนื่องจากหลายบริษัทกำลังขยับออกจากจีน เพื่อลดความเสี่ยง ทั้งยังมีการไหลของการลงทุนด้านเทคโนโลยีและการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง EV จากจีนมายังประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Hyperscaler) ของสหรัฐก็เข้ามาลงทุนในตลาดอาเซียนเช่นกัน โดยเฉพาะการย้าย Data Center มายังไทย เนื่องจากมาเลเซียประสบปัญหาเรื่องพลังงาน

‘ศุภชัย’ ชี้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน แนะองค์กรเร่งปรับ รัฐหนุนการเงินสีเขียว

นายศุภชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนย้ายฐานที่ไหลเข้ามาไทยทำให้ห่วงโซ่หลักของประเทศเปลี่ยน ภาคธุรกิจจึงต้องมองว่านี่คือโอกาส แต่ก็มีโจทย์ที่ท้าทายตามมาคือ ประเทศไทยมีพลังงานเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะพลังงานสะอาด และที่สำคัญคือ วงจรห่วงโซ่อุปทาน รวมถึง SMEs ในประเทศ จะได้รับประโยชน์และสามารถปรับตัวเพื่อรองรับการผลิตที่ไหลเข้ามานี้ได้หรือไม่

ปัจจุบัน โครงสร้างเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุค Innovationist ซึ่งเป็นยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Computing Technology AI Robotic ซึ่งองค์กรจะต้องไม่รอถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนเองอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ การปรับตัวที่สำคัญคือองค์กรต้องกลับไปเป็นห้องทดลอง หรือ "Back to School" เปิดพื้นที่คนรุ่นใหม่ ได้ทดลองทำเรื่องใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เรียนรู้จากการล้ม ต้องกล้า "ล้มเล็กๆ เรียนรู้เยอะๆ"

นอกจากนี้ ภาครัฐเองควรส่งเสริมการเงินสีเขียว “Green Financing” โดยตั้งกองทุนหรือหน่วยงานในการเดินหน้าเรื่องการเงินสีเขียว รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะต้องสนับสนุนกลไกให้ดอกเบี้ยลดลงสำหรับสินเชื่อสีเขียว เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บริษัทต่างชาติมาตั้งฐาน รวมทั้งช่วยให้ SMEs ไทย สามารถปรับตัว ลงทุนใหม่ อัปเกรดใหม่ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้สอดคล้องกับห่วงโซ่อุปทานโลกได้

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ภาคเอกชนต้องเน้นการร่วมมือกัน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กยิ่งต้องเชื่อมโยง การแข่งขันควรเปลี่ยนจากคู่ต่อสู้เป็นอาจารย์ ที่สอนให้เห็นถึงแนวทางที่ดี การร่วมมือที่สำคัญคือการเชื่อมโยงกับพันธมิตรระดับโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่รวมของคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการคิดนอกกรอบและเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆ

“ผู้บริหารควรมี Global Perspective เดินทางไปหาผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เช่น จีน อเมริกา หรือกลุ่มสแกนดิเนเวีย เพื่อเรียนรู้การปรับตัว เพราะความรู้และการเรียนรู้จะต้องรวดเร็วเพื่อให้ไม่ตกขบวน”

สุดท้าย ประเทศไทยควรเป็นจุดศูนย์กลางที่เปิดกว้างเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถระดับโลก เข้ามาทำงานและลงทุนในประเทศ หากทำได้ ประเทศไทยจะสามารถปรับตัวได้เร็วขึ้น และสามารถเป็นที่พึ่งให้กับภูมิภาคได้ 

‘ศุภชัย’ ชี้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยน แนะองค์กรเร่งปรับ รัฐหนุนการเงินสีเขียว