SCG ปรับแนวคิดพลิกธุรกิจ 'กัดฟันสู้' ชู ESG สร้างซัพพลายเชนรับโลกผันผวน

"SCG" ปรับแนวคิดพลิกธุรกิจ สร้างซัพพลายเชนใหม่ รับมือความผันผวนโลก ย้ำชัด แนวทาง "ESG" ชี้ชะตาธุรกิจทางรอดแห่งอนาคต
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG กล่าวบรรยายหัวข้อ “ปรับแนวคิด พลิกธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนโลก” ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) เวที TSCN Business Partner Conference 2025 ว่า สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อนกำลังทำให้ทุกภาคธุรกิจต้องออกแบบซัพพลายเชนใหม่ ไม่เพียงแต่เพื่อความคุ้มค่าเชิงต้นทุน แต่ยังรวมถึงการตอบสนองต่อกฎระเบียบทางการค้า ข้อกำหนดด้าน ESG และแรงกดดันจากประเทศคู่ค้า
ว่า สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและซับซ้อนกำลังทำให้ทุกภาคธุรกิจต้องออกแบบซัพพลายเชนใหม่ ไม่เพียงแต่เพื่อความคุ้มค่าเชิงต้นทุน แต่ยังรวมถึงการตอบสนองต่อกฎระเบียบทางการค้า ข้อกำหนดด้าน ESG และแรงกดดันจากประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ปัจจุบันหลายประเทศกำหนดเงื่อนไขการเข้าถึงตลาด เช่น สัดส่วนที่ผลิตในประเทศต้นทาง (local content requirement) หากสินค้าไทยสามารถแสดงให้เห็นสัดส่วนดังกล่าวเกิน 40% ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ โดยไม่ถูกเก็บภาษี แต่หากต่ำกว่าเกณฑ์ก็อาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 40% ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่กระทบต่อการออกแบบซัพพลายเชนโดยตรง
“ประเด็นที่ท้าทายคือสัดส่วน 40% วันนี้อาจเปลี่ยนเป็น 60% ได้ภายในเวลาเพียง 3 เดือน เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับกฎระเบียบและการตัดสินใจของหน่วยงานต่างประเทศ ดังนั้น การออกแบบซัพพลายเชนต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด ไม่ใช่ทำเพื่อตามให้ทันเพียงขั้นต่ำ แต่ต้องยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” นายธรรมศักดิ์ กล่าว
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ ESG ไม่ใช่เพียงเทรนด์ที่ธุรกิจเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ได้กลายเป็น “ใบอนุญาตในการทำธุรกิจ” ไปแล้ว หากองค์กรไม่ปรับตัว คู่ค้าในอนาคตอาจไม่ซื้อสินค้าเลย หรืออาจถูกตัดออกจากซัพพลายเชนโลกในเวลาเพียง 3–6 เดือน
ดังนั้น การปรับตัวต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันในซัพพลายเชนเพื่อยกระดับมาตรฐาน ESG ของทั้งระบบ แทนที่จะปล่อยให้แต่ละองค์กรต้องลองผิดลองถูกเอง หากมีบริษัทใดทดลองแล้วไม่เวิร์ก ควรแชร์บทเรียนให้ผู้อื่นหลีกเลี่ยง และหากมีแนวทางที่เวิร์ก ก็ควรนำมาเผยแพร่เพื่อให้ทั้งห่วงโซ่อุปทานของประเทศแข็งแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา SCG เองเคยทดลองติดตั้งโซลาร์เซลล์ แต่พบปัญหาต่างๆ ทั้งด้านความคุ้มค่าและความปลอดภัย เช่น กรณีเกิดไฟไหม้ หรือการใช้ AI และหุ่นยนต์ที่ในช่วงแรกมีต้นทุนสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีศักยภาพและราคาที่เหมาะสมขึ้น
“บทเรียนที่เราได้คือ การลงทุนด้านเทคโนโลยีไม่ควรทำเพียงองค์กรเดียว แต่ควรเปิดให้ทดลอง แชร์ และเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อที่ว่าประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามความผิดพลาดได้เร็วขึ้นและลดต้นทุนโดยรวม”
นอกจากนี้ SCG จึงเปิดโครงการ Home Together และ Net Zero Accelerator เพื่อเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์วิจัยที่ปัจจุบันมีผู้เข้ามาเรียนรู้แล้วกว่า 4,000 ราย
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า กลยุทธ์การปรับตัวของ SCG มี 2 แกนหลัก ได้แก่ 1. Clean Up Business ปิดธุรกิจที่ไม่เวิร์กหรือไม่สามารถทรานส์ฟอร์มได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระ และโฟกัสเฉพาะธุรกิจที่ยังแข่งขันได้
2. สร้าง New Engine เดินหน้าลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ ESG และดีคาร์บอนไนซ์ เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก
ทั้งนี้ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มีมูลค่าการยื่นขอกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ของไทยในระยะ 10–20 ปีข้างหน้า และสามารถต่อยอดไปยังภาคส่วนอื่นๆ ทั้ง SME และ Nano SME ได้
นอกจากนี้ SCG กำลังเผชิญกับสถานการณ์ “Perfect Storm” จากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลก ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่เชื่อว่าหากสามารถ “กัดฟันสู้” และปรับตัวได้ในช่วง 1–2 ปีนี้ จะสามารถยืนหยัดและสร้างความแข็งแกร่งระยะยาว
“ธุรกิจไหนที่ไม่ใช่ เราก็ต้องปิดเร็วที่สุด เพื่อให้โฟกัสไปยังธุรกิจที่เป็นอนาคต และลงทุนใน New Engine ที่จะนำไปสู่การเติบโตใหม่ เราเชื่อว่าหากผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ได้ SCG และประเทศไทยจะสามารถยกระดับและเชื่อมต่อกับเครือข่ายอาเซียนและโลกได้อย่างมั่นคง” นายธรรมศักดิ์ กล่าว







