‘เอกนิติ’ ชี้ 4 บริบทโลกเปลี่ยน หนุนไทยเร่งปรับตัว สร้าง Green Supply Chain

'เอกนิติ' ชี้ 4 บริบทโลกเปลี่ยน ไทยต้องเร่งปรับตัว รับมือโลกเลือกข้าง สังคมสูงวัย การก้าวสู่ยุค AI และกระแสโลกสีเขียว ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) รัฐบาลวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นการเติบโตควบคู่กับโมเดล ESG ผ่านการกระตุ้นระยะสั้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
KEY
POINTS
- 'เอกนิติ' ชี้ 4 บริบทโลกเปลี่ยน ไทยต้องเร่งปรับตัว รับมือโลกเลือกข้าง สังคมสูงวัย การก้าวสู่ยุค AI และกระแสโลกสีเขียว
- ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain)
- รัฐบาลวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นการเติบโตควบคู่กับโมเดล ESG ผ่านการกระตุ้นระยะสั้นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวภายใต้วินัยการคลัง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน "Sustainability Expo 2025" บนเวที "TSCN Business Partner Conference 2025" ภายในงาน SX2025 ว่า บริบทโลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และรัฐบาลได้นำหลักคิดในการปรับตัวนี้มาใช้ในการวางนโยบายเศรษฐกิจ โดยมี 4 เรื่องใหญ่ที่ต้องตระหนักและเตรียมปรับตัว ได้แก่
1. การเปลี่ยนจาก “โลกเสรี” เป็น “โลกเลือกข้าง” ในอดีตโลกเน้นการค้าเสรี (Globalization) ซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านองค์กรอย่าง WTO แต่ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปสู่ความเป็น Localization หรือการเลือกข้างทางเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ ประเทศที่ไม่ใช่พวกพ้องอาจถูกกีดกันทางการค้า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Supply Chain และมีการใช้ทั้งกำแพงภาษี (Trade Barriers) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Trade Barriers) มากขึ้น เช่น การตรวจสอบสินค้าเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน
2. การเปลี่ยนจาก “Baby Boom” เป็น “Older Boom” หรือเข้าสู่ภาวะสังคมสูงอายุ เทรนด์นี้ส่งผลกระทบในเชิงสังคมอย่างมาก โดยผู้ที่เคยเกิดในยุค Baby Boom ได้กลายเป็นผู้สูงอายุในปัจจุบัน
ซึ่งประเทศไทยมีภาวะสังคมผู้สูงอายุที่หนักกว่าโลก โดยมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปี สูงถึง 20% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 15% สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน ระบบประกันสังคมไม่เพียงพอ อำนาจซื้อในประเทศลดลง และรัฐบาลจะมีภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลสูงขึ้น ส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นตามมา
อย่างไรก็ดี ยังมีโอกาสหากสามารถนำกลุ่มผู้สูงอายุที่มีศักยภาพเข้ามาใช้ประโยชน์ และใช้จุดแข็งของไทย เช่น อาหารสุขภาพและโรงพยาบาลที่ดี เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้คนไทยนำไปดูแลกลุ่มคนที่เดือดร้อนได้
3. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ AI โลกเปลี่ยนจากยุค Analog สู่ Digital และก้าวสู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียง 3 ปีหลังจากการเกิดขึ้นของ ChatGPT
“AI และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เข้าถึงและใช้เป็น แต่หากประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึงโอกาสเหล่านี้ ก็จะยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล รุนแรงขึ้นได้”
4. การเปลี่ยนจาก “โลกร้อน” เป็น “โลกสีเขียว” (Green World) ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและก๊าซเรือนกระจกได้ผลักดันให้เกิดเทรนด์โลกสีเขียว หากใครที่ไม่ได้อยู่ใน Green Supply Chain โอกาสในการทำธุรกิจจะยากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการที่อยู่ในซัพพลายเชนจึงต้องเร่งปรับตัว
นายเอกนิติ กล่าวว่า แม้จะมีเวลาเพียง 4 เดือน รัฐบาลต้องเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยหลักคิดของคณะรัฐบาลคือ การผลักดัน การเติบโตของเศรษฐกิจควบคู่ไปกับโมเดล ESG ซึ่งหมายถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ต้องควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
“ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวลงอย่างมาก เปรียบเหมือนรถยนต์ที่กำลังจะดิ่งเหวหากไม่หยุดสถานการณ์นี้ เนื่องจากมีการเร่งส่งออกล่วงหน้าก่อนที่ภาษีทรัมป์จะถูกนำมาใช้ ทำให้ไตรมาสที่ 4 อาจเหลือการเติบโตเพียง 0.3%”
ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงใช้กรอบความคิดหลักในการดำเนินนโยบาย กระตุ้นสั้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทย "ติดหล่ม" และต้องผลักดันเศรษฐกิจขึ้นมา ให้ได้ผลยาว ต้องคิดถึงมิติของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และกระจายตัว เนื่องด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง นโยบายต้องช่วยให้กลุ่มตัวเล็ก ตัวน้อย และ SMEs ได้รับประโยชน์ โดยทั้งหมดต้องอยู่บนหลักของวินัยการคลังและธรรมาภิบาล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังและการเงิน และป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตเช่นเดียวกับปี 2540







