SX2025 ผ่าทางรอดวิกฤติอาหาร ยกระดับเกษตรกร–ผู้บริโภค ด้วยนวัตกรรมยั่งยืน

SX2025 ผ่าทางรอดวิกฤติอาหาร ยกระดับเกษตรกร–ผู้บริโภค ด้วยนวัตกรรมยั่งยืน

งาน SX2025 นำเสนอนวัตกรรมยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่การเกษตรอัจฉริยะ การแปรรูป ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ เพื่อเป็นทางรอดจากวิกฤติอาหาร

KEY

POINTS

  • งาน SX2025 นำเสนอนวัตกรรมยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่การเกษตรอัจฉริยะ การแปรรูป ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ เพื่อเป็นทางรอดจากวิกฤติอาหาร
  • การใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตส่วนเกินหรือของเหลือทิ้ง เช่น เปลือกกาแฟและกล้วย ช่วยเพิ่มรายได้และลดความเสี่ยงให้เกษตรกร
  • พัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้บริโภค เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากเปลือกกาแฟ และบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ในทะเลจากสาหร่าย เพื่อสร้างทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืน

ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายด้านอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) การสร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดห่วงโซ่อาหารจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญ ตั้งแต่ต้นน้ำอย่างเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming), เทคโนโลยีแปรรูป, บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงการขนส่งและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ Sustainability Expo 2025 (SX2025) จึงจัดงานเสวนาสำคัญในหัวข้อ “From Farm To Plate: Innovation Snapshot” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 รวบรวมผู้บุกเบิกด้านนวัตกรรมอาหารและเกษตรกรรมชั้นนำของไทยมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน

การเสวนาครั้งนี้มีผู้ร่วมเสวนา 4 ท่านจากองค์กรนวัตกรรมชั้นนำ ได้แก่ ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานกรรมการบริหาร ListenField Thailand, นฤมล ทักษอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด, ธนัญชย์ ธนทวี ประธาน Warich Foods และ สดาวุธ การะเกตุ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท นาโน ออเนียนส์ จำกัด และดำเนินรายการโดย ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ทั้งหมดได้นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลายตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานอาหารและความท้าทายระดับโลก

SX2025 ผ่าทางรอดวิกฤติอาหาร ยกระดับเกษตรกร–ผู้บริโภค ด้วยนวัตกรรมยั่งยืน

ต้นน้ำ: ปฏิวัติวงการเกษตร

“ดร.รัสรินทร์” นำเสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการแก้ปัญหาที่ต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานอาหาร ด้วย Farm Analytic Solution ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลตลอดวงจรการผลิตทางการเกษตร

แพลตฟอร์มนี้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ คุณภาพดิน การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม การจัดการ ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการพยากรณ์และวางแผนการ เก็บเกี่ยวด้วยหลักการ เกษตรแม่นยำ ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

ความสามารถเด่นของ ListenField คือการใช้ข้อมูลในอดีต (Historical Data) ร่วมกับเทคโนโลยีการวิเคราะห์ขั้นสูงในการสร้าง คะแนนความเสี่ยงสำหรับพื้นที่เพาะปลูกต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจาก อุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“การมีข้อมูลที่แม่นยำและทันสมัยช่วยให้บริษัทอาหารขนาดใหญ่สามารถวางแผนการผลิตและจัดการห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบของเราช่วยลดความไม่แน่นอนและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค”

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีนี้คือการเพิ่มขึ้นของผลผลิตพร้อมกับการลดลงของการใช้ทรัพยากร โดยเฉพาะปุ๋ยและน้ำ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

กลยุทธ์ช่วยเกษตรกรรายย่อย

"ดร. รัสรินทร์" ยังได้แบ่งปันเกี่ยวกับกลยุทธ์การขยายธุรกิจว่า ListenField เลือกที่จะเริ่มต้นให้บริการกับบริษัทเกษตรขนาดใหญ่ก่อน เพื่อสร้างรายได้และพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความเสถียรและพิสูจน์ประสิทธิภาพได้จริง

“เราเข้าใจดีว่า เกษตรกรรายย่อย คือกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด แต่การเริ่มต้นกับบริษัทขนาดใหญ่ช่วยให้เราสามารถสร้างรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์ และสร้างกรณีศึกษาที่ชัดเจน ก่อนที่จะขยายไปสู่เกษตรกรรายย่อยในราคาที่เข้าถึงได้”

กลางน้ำ: กาแฟไทยสู่นวัตกรรมสุขภาพ

“นฤมล” นำเสนอตัวอย่างของการเปลี่ยนปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในกระบวนการผลิตกาแฟแบบดั้งเดิม

เปลือกผลกาแฟ (Cascara) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของน้ำหนักผลกาแฟสด มักถูกทิ้งไปเป็นของเสีย การทิ้ง Cascara ไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เนื่องจากการย่อยสลายของเปลือกกาแฟที่ทิ้งเป็นกองจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารพิษที่ปนเปื้อนแหล่งน้ำ

“เราเห็นโอกาสในสิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นขยะ Cascara มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูง เราจึงลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเพื่อปลดล็อกศักยภาพของมัน”

หลังจากการวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจัง Hillkoff ได้สร้างสรรค์ Cofogenic เครื่องดื่มนิวทราซูติคอล (Nutraceutical) จาก Cascara ที่ผ่านการทดสอบทางคลินิกและได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ผลการศึกษาทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า Cofogenic สามารถลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (High-Density Lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลชนิดดี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแค่เป็นเครื่องดื่มแต่เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

โมเดลธุรกิจแบบหมุนเวียน

“นฤมล” กล่าวด้วยว่า สิ่งที่โดดเด่นของ Hillkoff คือการสร้าง โมเดลธุรกิจแบบหมุนเวียน (Circular Business Model) ที่ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม

บริษัทได้พัฒนาห่วงโซ่อุปทานคู่ขนานที่ทำให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้จากทั้งเมล็ดกาแฟและเปลือกกาแฟในเวลาเดียวกัน นอกจาก Cofogenic แล้ว Cascara ยังสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น ชา Cascara, ไซเดอร์ และวีนิกา (น้ำส้มสายชูจากเปลือกกาแฟ)

นอกจากนี้ Hillkoff ยังได้พัฒนาระบบการติดตามและบันทึกปริมาณของเสียที่ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการคำนวณ การหักลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Credit) ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อธุรกิจและสิ่งแวดล้อม และยังสามารถใช้เป็นหลักฐานในการสื่อสารกับผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

กล้วยหอมทองสู่ตลาดโลก

“ธนัญชย์” นำเสนอเรื่องราวของการแก้ปัญหาการสูญเสีย กล้วยหอมทอง คุณภาพดีที่ถูกทิ้งไปโดยสูญเปล่า ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อทั้งเกษตรกรและความมั่นคงทางอาหาร

กล้วยหอมทองไทยมีชื่อเสียงในตลาดโลกด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่มีข้อจำกัดสำคัญคือ อายุการเก็บรักษาสั้น เพียง 7 วัน และมาตรฐานการส่งออกที่เข้มงวด กล้วยที่มีตำหนิเล็กน้อยหรือมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอ แม้จะมีคุณภาพดีและรสชาติเหมือนกัน ก็ไม่สามารถส่งออกได้ ส่งผลให้กล้วยคุณภาพดีประมาณ 30% ของผลผลิตทั้งหมดถูกทิ้งหรือขายในราคาต่ำมาก

“เรามองเห็นว่านี่คือโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของเกษตรกร แต่เราไม่ต้องการแค่ผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปทั่วไป เราต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่างและสามารถแข่งขันในตลาดระดับโลกได้”

Warich Food ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการวิจัยและพัฒนา และใช้กล้วยกว่า 20 ตัน ในการทดลองจนกระทั่งประสบความสำเร็จในการสร้าง Banana Pop ขนมกล้วยแปรรูปที่มีเนื้อสัมผัส กรอบและพอง (Crispy and Puffy) ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปทั่วไป

กระบวนการผลิตที่พัฒนาขึ้นเอง (Proprietary Process) ของ Warich Food ช่วยรักษารสชาติธรรมชาติของกล้วยหอมทองไว้ได้ดี ขณะเดียวกันก็สร้างเนื้อสัมผัสใหม่ที่น่าสนใจ ผลิตภัณฑ์ไม่ใช้สารกันบูดและใช้น้ำตาลเพียงเล็กน้อย ทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ

ความสำเร็จและความท้าทาย

ผลิตภัณฑ์ Banana Pop ได้รับการตอบรับอย่างดีในตลาดส่งออก โดยเฉพาะใน เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคระดับกลางถึงสูงที่ยอมจ่ายในราคาพรีเมียมสำหรับผลิตภัณฑ์คุณภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังกำลังเตรียมวางจำหน่ายใน ร้านสะดวกซื้อชั้นนำของไทย เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้มาพร้อมกับความท้าทาย ธนัญชย์ระบุว่า ราคาวัตถุดิบกล้วยไทย สูงกว่าคู่แข่งที่ใช้กล้วยจากประเทศอื่นเกือบ 100% ซึ่งสร้างแรงกดดันด้านต้นทุนอย่างมาก

“เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ง่ายๆ โดยการนำเข้ากล้วยจากประเทศที่ราคาถูกกว่า แต่เป้าหมายหลักของเราคือการช่วยเกษตรกรไทย เราเชื่อว่าการจ่ายราคาที่ยุติธรรมให้กับเกษตรกรคือการลงทุนในความยั่งยืนระยะยาว และคุณภาพที่เหนือกว่าของกล้วยหอมทองไทยก็คุ้มค่ากับราคาที่สูงขึ้น”

แนวทางนี้สะท้อนถึงปรัชญาของผลกระทบเหนือผลกำไร (Impact over Profit) แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนและความท้าทายในการแข่งขันสูงขึ้น แต่ก็สร้างคุณค่าระยะยาวทั้งต่อชุมชนเกษตรกรและความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

ปลายน้ำ: บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน

“สดาวุธ” กล่าวว่า พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะ พลาสติกใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastic) ใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลายตามธรรมชาติ และเมื่อถูกทิ้งลงสู่มหาสมุทรจะแตกตัวเป็น ไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศทางทะเลและสุขภาพมนุษย์

Nano Onions ได้พัฒนาโซลูชันที่เป็นบุกเบิกในภูมิภาคด้วยการสร้าง ไบโอโพลีเมอร์/ไบโอเรซิน (Biopolymer/Bioresin) จาก สาหร่ายทะเล (Seaweed) ซึ่งเป็นรายแรกในประเทศไทย วัสดุชีวภาพนี้สามารถใช้ทดแทนพลาสติกจากปิโตรเลียมในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มได้

ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือ Rave Straw หลอดดื่มที่ทำจากสาหร่าย ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ 2 ประการที่สำคัญ

1. Home Compostable (ย่อยสลายได้ที่บ้าน): สามารถนำไปทำปุ๋ยหมักในสภาพแวดล้อมทั่วไป ไม่จำเป็นต้องส่งไปยังโรงงานบำบัดขยะพิเศษ ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถจัดการกับขยะได้อย่างรับผิดชอบ

2. Marine Degradable (ย่อยสลายได้ในทะเล): หากหลุดรอดไปสู่สภาพแวดล้อมทางทะเล จะย่อยสลายได้โดยสมบูรณ์ภายใน 6 เดือน โดยไม่ทิ้งสารพิษหรือไมโครพลาสติกใดๆ ไว้

“คุณสมบัติ Marine Degradable เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะแม้เราจะมีระบบการจัดการขยะที่ดีแค่ไหน ก็ยังมีพลาสติกจำนวนมากที่รั่วไหลเข้าสู่มหาสมุทร การมีวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ในทะเลโดยไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตทางทะเลจึงเป็นเกราะป้องกันชั้นสุดท้าย”
ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน

“สดาวุธ” กล่าวด้วยว่า Nano Onions ได้ลงทุนจัดตั้ง ฟาร์มสาหร่าย (Seaweed Farms) ให้กับวิสาหกิจชุมชน ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วประเทศไทย โดยให้ความรู้ เทคโนโลยี และสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสาหร่ายที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนด

“เรามองว่าชาวประมงและชุมชนชายฝั่งคือพันธมิตรสำคัญของเรา ไม่ใช่แค่ซัพพลายเออร์” สฎาวุธกล่าว “การเพาะเลี้ยงสาหร่ายสามารถทำควบคู่ไปกับการประมงแบบดั้งเดิมได้ และให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่าการประมงที่ขึ้นกับฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศ”

บริษัทมีนโยบายรับซื้อสาหร่ายคืน จากชุมชนในราคาที่ยุติธรรมและมีสัญญาระยะยาว ซึ่งสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับครัวเรือนชาวประมง ตามข้อมูลของบริษัท รายได้เสริมจากการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญมากสำหรับครัวเรือนในชุมชนชายฝั่ง

นอกจากประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว การเพาะเลี้ยงสาหร่ายยังมี ประโยชน์ต่อระบบนิเวศทางทะเล ด้วย สาหร่ายสามารถดูดซับ คาร์บอนไดออกไซด์ และสารอาหารส่วนเกินในน้ำทะเล ช่วยลดปัญหาการเจริญเติบโตของสาหร่ายพิษและปรับปรุงคุณภาพน้ำในพื้นที่ชายฝั่ง ฟาร์มสาหร่ายยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำเล็กและเป็นอนุบาลธรรมชาติของปลาหลายชนิดอีกด้วย

สินค้ากรีนปลอมๆ

“สดาวุธ” ได้ยกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาของตลาด ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแต่ในความจริงแล้วยังคงใช้ พลาสติกฐานปิโตรเลียม (Petroleum-based Plastic) ผสมอยู่

“มีผลิตภัณฑ์มากมายในตลาดที่ติดฉลาก ‘biodegradable’ หรือ ‘eco-friendly’ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีองค์ประกอบของพลาสติกจากปิโตรเลียมอยู่ถึง 30-40% ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจจะย่อยสลายได้เร็วกว่าพลาสติกทั่วไป แต่ก็ยังคงทิ้งไมโครพลาสติกและสารพิษในสิ่งแวดล้อม”

ปัญหานี้สร้างความท้าทายให้กับผู้ผลิตที่จริงใจอย่าง Nano Onions เพราะผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุชีวภาพ 100% มีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า แต่ต้องแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแต่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก

“ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องการให้รัฐบาลกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนและเข้มงวด เพื่อปกป้องทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตที่จริงใจ”

 

ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ