เปิด 4 โมเดลท่องเที่ยวชุมชนที่ยืนหยัดได้หลังโควิด โดยไม่พึ่งงบรัฐ 

เปิด 4 โมเดลท่องเที่ยวชุมชนที่ยืนหยัดได้หลังโควิด โดยไม่พึ่งงบรัฐ 

ถอดบทเรียน 4 กรณีศึกษาการท่องเที่ยวชุมชนจาก พัทลุง ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี ซึ่งสะท้อนมิติของความยั่งยืนในมุมที่แตกต่างกัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “การท่องเที่ยวยั่งยืน” (Sustainable Tourism) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้น เพราะการท่องเที่ยวไม่ใช่เพียงกิจกรรมพักผ่อนหรือการสร้างรายได้ แต่ยังสะท้อนถึงการจัดการชุมชน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแบบ Community-Based Tourism (CBT) ไม่ใช่เรื่องใหม่ 

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่สิ่งที่จะทำให้การท่องเที่ยวอยู่รอดอย่างแท้จริง คือการพัฒนาในแบบที่ “ชุมชนเป็นเจ้าของ” และพึ่งพาตนเองได้

“อัตลักษณ์ไม่ได้มาจากแค่ทรัพยากรในชุมชนอย่างเดียว แต่อาจมาจากจิตวิญญาณของคนในชุมชน ทัศนคติ หรือวิถีชีวิต นี่คือสิ่งที่ต้องดึงออกมาสื่อสารให้ได้ถ้าจะทำ CBT” ดร.ศิวศักดิ์ ปานสุขุม อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025)

ในงาน SX2025  มีการนำเสนอ 4 กรณีศึกษาจาก พัทลุง ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี ซึ่งสะท้อนมิติของความยั่งยืนในมุมที่แตกต่างกัน

เปิด 4 โมเดลท่องเที่ยวชุมชนที่ยืนหยัดได้หลังโควิด โดยไม่พึ่งงบรัฐ 

พัทลุง: จากวัชพืชสู่พืชเศรษฐกิจ

จังหวัดพัทลุงโดดเด่นด้วยวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิม กรณีศึกษาจาก Varni Craft แสดงให้เห็นการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้ว นั่นคือ กระจูด พืชท้องถิ่นที่เคยถูกมองว่าเป็นวัชพืช แต่ในตอนนี้ได้นำมาผลิตเป็นงานสาน มนัทพงศ์ เซ่งฮวด ผู้ก่อตั้ง Varni Craft กล่าวว่า “จากเสื่อกระจูดใบละร้อย เราพัฒนาให้กลายเป็นกระเป๋าที่ขายได้หลักพัน”

มนัทพงศ์ ตัดสินใจกลับบ้านเกิดเพื่อชุบชีวิตหัตถกรรมพื้นถิ่นที่กำลังสูญหาย ด้วยการต่อยอดดีไซน์และงานปัก กระเป๋ากระจูดกลายเป็นสินค้าแฟชั่นร่วมสมัยที่ส่งออกไปฝรั่งเศส สหรัฐ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ พร้อมเปิดบ้านเป็นศูนย์การเรียนรู้ ให้นักท่องเที่ยวมาเรียนสานกระจูด ทำเวิร์กชอป และซึมซับวิถีชีวิตท้องถิ่น 

ต่อมาขยายสู่ Varni Stay โฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากกระจูดทั้งหมด พร้อมโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น ล่องเรือชมควายน้ำในทะเลน้อย ชมบัวแดงนับล้านดอก และถอนกระจูดกับชาวบ้าน

แต่เส้นทางไม่ราบรื่น มนัทพงศ์ยอมรับว่าช่วงแรกหาช่างสานที่มีฝีมือยากมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฟื้นฟูทักษะคนรุ่นเก่าที่เลิกสานไปนานแล้ว และสอนคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากทำงานหนัก นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูก ทำให้ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยดีไซน์และการบอกเล่าเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง

เปิด 4 โมเดลท่องเที่ยวชุมชนที่ยืนหยัดได้หลังโควิด โดยไม่พึ่งงบรัฐ 

ปทุมธานี: เมื่อเยาวชนเป็นตัวเชื่อม

ชุมชนคลอง 3 จังหวัดปทุมธานี แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวชุมชนสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่และการศึกษาชุมชนนี้เริ่มพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2561 จากโครงการ OTOP นวัตวิถี โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรอินทรีย์ นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้กิจกรรมหลากหลาย เช่น การทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ งานหัตถกรรมพื้นบ้าน และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร

สิ่งที่ทำให้ชุมชนนี้แตกต่างคือบทบาทของนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่เข้ามาช่วยออกแบบ One Day Trip สร้าง Storytelling และพัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ ทำให้ชุมชนปรับตัวหลังวิกฤติโควิด-19 และขยายฐานนักท่องเที่ยวได้กว้างขึ้น

“ในห้องเรียนเราได้เรียนแต่ทฤษฎี แต่การลงพื้นที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเจน ได้คุยกับพ่อแม่ชาวบ้าน เพิ่ม soft skills คนรุ่นใหม่ก็สนใจในเรื่องท่องเที่ยวชุมชนและสินค้าหัตถกรรมมากขึ้น” สรศักดิ์ กลับวิลา นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว

ขณะที่ รุ่งนภา แก้วธรรม กำนันตำบลคลองสาม และประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง หมู่ที่ 16 เล่าว่า ในช่วงแรกชาวบ้านยังไม่กล้าพบปะนักท่องเที่ยว แต่พอได้สัมผัสจากนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพิ่มประสบการณ์ ตอนนี้ชาวบ้านรับแขกได้เอง และพึ่งพาตนเองได้

อย่างไรก็ตาม การดึงคนรุ่นใหม่กลับมาช่วยชุมชนอย่างต่อเนื่องยังถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาทักษะ เช่น ภาษาอังกฤษ ให้แก่ชาวบ้านในชุมชน เพราะกำนันยอมรับว่าชาวบ้านมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ทำให้อาจขายของไม่ได้ รวมถึงต้องมีการถ่ายทอดความรู้และสร้างทีมงานรุ่นใหม่ในชุมชนให้แข็งแรง เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ 

 

ราชบุรี: Zero Waste ที่ทำได้จริง

ตลาดโอ๊ะป่อย ชุมชนท่ามะขาม อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี กลายเป็นพื้นที่พักใจของทั้งนักท่องเที่ยวและคนในชุมชน สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างคือการผสาน ศรัทธา สิ่งแวดล้อม และชุมชนเข้าด้วยกัน 

ไฮไลต์สำคัญของที่นี่คือ กิจกรรมตักบาตรพระบนแพล่องน้ำ ซึ่งกลายเป็นภาพจำที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศ นอกจากนี้ ในตลาดยังยึดแนวคิด Zero Waste Market มีการแยกขยะ รีไซเคิล และใช้ระบบกองทุนชุมชน โดยไม่พึ่งงบประมาณจากภาครัฐ 

ผู้ใหญ่บี ภัทรพงศ์ วงศ์กิจเกษม ประธานตลาดโอ๊ะป่อย กล่าว ทุกคนในตลาดมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง ทำให้ทุกมุมกลายเป็นจุดเช็กอินได้เองโดยไม่ต้องสร้างฉากเสริม

ผู้ใหญ่บีภูมิใจที่ได้สืบสานวัฒนธรรมกะเหรี่ยง อย่างการแต่งกายและภาษาภายในตลาด ที่สำคัญคือการจัดการที่เข้มแข็งและมีกติกากลางที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน

 

เพชรบุรี: เมื่อลูกหลานกลับบ้าน

ตลาดจามจุรี บ้านถ้ำเสือ จังหวัดเพชรบุรี เป็นตลาดริมน้ำที่เริ่มจากความสมัครใจของชุมชน โดยใช้ที่ดินส่วนตัวทำตลาดร่วมกัน ชุมชนที่นี่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันแรก ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปขยะเปียกเป็นปุ๋ย การแยกขยะอย่างเป็นระบบ ไปจนถึงการลดผลกระทบต่อธรรมชาติ ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นถูกนำมาพูดคุยและแก้ไขกันทุกสัปดาห์ ทำให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง

นอกจากนี้ รายได้จากตลาดไม่ได้ทำให้คนเพียงอยู่รอด แต่ยังดึงเยาวชนกลับบ้าน ช่วยครอบครัวดูแลร้านค้า และปลูกฝังความรักในท้องถิ่นให้รุ่นใหม่เห็นคุณค่าของชุมชน ซึ่งเป็นความฝันของ สุเทพ พิมพ์ศิริ  ผู้บุกเบิกตลาดจามจุรี ภายใต้วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (โฮมสเตย์บ้านถ้ำเสือ) 

“เราอยากให้คนรุ่นใหม่กลับมา เวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรหรือยังให้เขาอยากกลับบ้าน อย่างพ่อแม่ที่เปิดร้าน ก็ได้ลูกหลานกลับมาในวันหยุดมาช่วยพ่อแม่ที่ร้าน เราก็ได้ลูกหลานกลับมา”  สุเทพ กล่าว

ดร.ปิรันธ์ ชิณโชติ อดีตนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี สรุปว่าในแต่ละชุมชนล้วนยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข “คนในพื้นที่แรก ๆ อาจอึดอัดกับกฎกติกา แต่เราต้องมีธรรมนูญที่ชัดเจนเพื่อความยั่งยืน เพราะการทำตลาดคือเน้นการมีส่วนร่วม ต้องสร้างการเอื้อต่อกัน ไม่ใช่แข่งขันกัน”

ทั้ง 4 กรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เพียงคำสวยหรู แต่คือการทำงานจริงที่เกิดขึ้นแล้วในหลายชุมชนของไทย พัทลุง ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี พิสูจน์ว่าความยั่งยืนไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เกิดจากการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม ศรัทธา และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน

ท้ายที่สุด การเดินทางที่ยั่งยืนคือการเดินทางที่ทุกฝ่าย นักท่องเที่ยว ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ต่างได้รับประโยชน์และเติบโตไปพร้อมกัน

พบกับแรงบันดาลใจเหล่านี้ได้ ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX2025) ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่  5 ตุลาคม 2458 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)