กทม. ใช้ AI-LiDAR สแกนต้นไม้ทั่วกรุง เพิ่มความปลอดภัย-สู้ฝุ่นพิษ ลดค่าบำรุงรักษา 30%

กทม. ใช้ AI-LiDAR สแกนต้นไม้ทั่วกรุง เพิ่มความปลอดภัย-สู้ฝุ่นพิษ ลดค่าบำรุงรักษา 30%

กรุงเทพมหานครพลิกโฉมการจัดการพื้นที่สีเขียวครั้งใหญ่ หันมาใช้เทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ LiDAR (ไลดาร์) เพื่อสำรวจและประเมินสภาพ "ป่าในเมือง" ที่ยังไม่ได้รับการนับและดูแลอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนและสร้างแนวป้องกันไฮเทคเพื่อรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่คุกคามชีวิตคนกรุง

KEY

POINTS

  • กทม. นำเทคโนโลยี AI และ LiDAR มาใช้สแกนต้นไม้ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อสร้างระบบบัญชีต้นไม้อัจฉริยะ (Smart Tree Inventory) สำหรับประเมินสุขภาพต้นไม้
  • เทคโนโลยีนี้ช่วยแจ้งเตือนต้นไม้ที่เสี่ยงหักโค่นล่วงหน้าเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และช่วยให้การบำรุงรักษาเป็นแบบเจาะจงเป้าหมาย ลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 30%
  • การมีข้อมูลต้นไม้ที่แม่นยำและครบถ้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวเพื่อต่อสู้กับปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ

กรุงเทพมหานครพลิกโฉมการจัดการพื้นที่สีเขียวครั้งใหญ่ หันมาใช้เทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ LiDAR (ไลดาร์) เพื่อสำรวจและประเมินสภาพ "ป่าในเมือง" ที่ยังไม่ได้รับการนับและดูแลอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนและสร้างแนวป้องกันไฮเทคเพื่อรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่คุกคามชีวิตคนกรุง

ปลดล็อกข้อมูลด้วยเครื่อง MRI เมือง

ในอดีต การสำรวจและประเมินสุขภาพของต้นไม้แต่ละต้นนั้นเป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ปัจจุบัน "Smart Tree Inventory (STI)" หรือระบบบัญชีต้นไม้อัจฉริยะ ได้เข้ามาเปลี่ยนเกม ด้วยการใช้เครื่องสแกนเลเซอร์เคลื่อนที่แบบติดตั้งบนรถยนต์ (LiDAR 3D Scanner) และกล้องพาโนรามา เพื่อเก็บข้อมูลต้นไม้จำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว

ปีเตอร์ ซาสซี รองประธาน บริษัท Greehill Asia-Pacific Pte บริษัทเทคโนโลยีจากสิงคโปร์ ได้เปรียบเทียบกระบวนการนี้ว่าเหมือนกับการใช้ "เครื่อง MRI สำหรับเมือง" ซึ่งเป็นเครื่องมือวินิจฉัยโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวของเมือง

"ข้อมูลนี้จะถูกวิเคราะห์ด้วย AI เพื่อส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นความสนใจและทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปที่ต้นไม้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ" คุณ Sassi กล่าวในงานเสวนา "Urban Forests for The Future: Global Lessons and Local Actions for Bangkok"

กทม. ใช้ AI-LiDAR สแกนต้นไม้ทั่วกรุง เพิ่มความปลอดภัย-สู้ฝุ่นพิษ ลดค่าบำรุงรักษา 30%

ผลลัพธ์ที่วัดได้ ถนนที่ปลอดภัยขึ้นและการประหยัดงบ

การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ส่งผลต่อความปลอดภัยสาธารณะและการลดต้นทุนของเมืองทันที ระบบ STI สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าถึงต้นไม้ที่เสี่ยงต่อการหักโค่น ซึ่งพิสูจน์แล้วทั่วโลกว่าช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับชุมชนได้มากกว่า 80%

ในด้านประสิทธิภาพ STI ช่วยให้ทีมงานบำรุงรักษาสามารถเปลี่ยนจากการดูแลแบบ "เหมาเขต" ที่สิ้นเปลืองทรัพยากร ไปเป็นการดูแลแบบ "เจาะจงเป้าหมาย" เฉพาะต้นไม้ที่ AI ตรวจพบปัญหา เช่น องศาการเอียงที่สำคัญ, ส่วนที่ตายไป หรือข้อบกพร่องทางโครงสร้าง การดูแลที่แม่นยำนี้สามารถช่วยให้เมืองประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาได้สูงถึง 30%  "หากปล่อยให้เกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายในการจัดการตามมานั้นสูงมาก แต่หากทำแค่ตัดแต่งกิ่งล่วงหน้าก็จะง่ายกว่ามาก"

วิกฤตฝุ่นพิษและการขาดข้อมูล

ความเร่งด่วนในการเปลี่ยนมาใช้ระบบข้อมูลครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะป่าในเมืองของกรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ฝุ่น PM2.5 ต้นไม้คือปราการด่านสำคัญในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศนี้ แต่เมืองไม่สามารถบริหารจัดการสิ่งที่ "วัด" ไม่ได้

รศ.ดร. ชัยรัตน์ ตรีทรัพย์สุนทร หัวหน้าห้องปฏิบัติการการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า "เราเผชิญกับมลพิษมากมายในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กในช่วงฤดูหนาว" และชี้ว่าวิธีการสำรวจแบบเดิมที่ต้องให้รุกขกรเดินตรวจวัดความสูง เส้นผ่านศูนย์กลาง และจำนวนใบทีละต้นนั้น "เป็นไปไม่ได้ในระดับเมือง"

ผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นประเมินว่า จากต้นไม้ทั้งหมดประมาณ 3 ล้านต้นในกรุงเทพฯ มีการบันทึกข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ไว้น้อยกว่า 1% ช่องว่างข้อมูลขนาดมหึมานี้ทำให้กรุงเทพฯ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินสีเขียวได้อย่างมีกลยุทธ์

กทม. ใช้ AI-LiDAR สแกนต้นไม้ทั่วกรุง เพิ่มความปลอดภัย-สู้ฝุ่นพิษ ลดค่าบำรุงรักษา 30%

ความร่วมมือคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

การดำเนินการให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และชุมชนท้องถิ่น  สันติ โอภาสปกรณ์กิจ จากมูลนิธิบิ๊กทรี (Big Trees Foundation) เน้นย้ำว่าแม้ผู้ว่าฯ จะประสบความสำเร็จในการปลูกต้นไม้กว่าล้านต้นอย่างรวดเร็ว แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือการดูแลเฉพาะทางในระยะยาว

คุณสันติชี้ให้เห็นว่า ต้นไม้เดิมของเมืองมักจะ "ใหญ่ เก่า แต่ไม่แข็งแรงนัก" เนื่องจากรากของมันถูกถนนและอาคารที่สร้างขึ้นภายหลังทำให้โครงสร้างอ่อนแอลง ดังนั้น เทคโนโลยีและพันธมิตรนานาชาติจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อเสียงของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติช่วยเสริมให้นโยบายท้องถิ่นได้รับการรับฟังมากขึ้น

ก้าวสู่เมืองอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

การเปลี่ยนมาใช้ระบบบัญชีต้นไม้อัจฉริยะ (STI) ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรดงานบำรุงรักษา แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น " กรุงเทพฯ เมืองแห่งข้อมูลและฟื้นตัวได้ " (Data-Driven, Resilient City)

การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จะเปลี่ยนทรัพย์สินสีเขียวที่เคยถูกละเลยให้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเมือง ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ เพิ่มความปลอดภัยสาธารณะ และปกป้องสุขภาพของพลเมือง ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในครั้งนี้ มอบฐานข้อมูลที่แม่นยำและเป็นกลาง เพื่อให้กรุงเทพฯ สามารถบริหารจัดการป่าในเมืองได้อย่างเป็นเชิงรุก เพื่อให้มั่นใจว่าต้นไม้ล้านต้นต่อไปที่ถูกปลูก จะไม่ได้แค่เติบโต แต่จะถูกวางตำแหน่งตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อมอบประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนสำหรับคนรุ่นต่อไป

กทม. ใช้ AI-LiDAR สแกนต้นไม้ทั่วกรุง เพิ่มความปลอดภัย-สู้ฝุ่นพิษ ลดค่าบำรุงรักษา 30%