ช่องว่างการเงิน 'โลกรวน' มหาศาล ไทยขาดกว่า 10 ล้านล้านบาท อปท. ลงทุนปรับตัวน้อยกว่า 1%

เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) เปิดเผยผลวิจัยสุดท้าทาย ชี้ประเทศไทยกำลังเผชิญ "ช่องว่างทางการเงินขนาดใหญ่" ในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น แม้ กทม. จะทุ่มงบ 22%
KEY
POINTS
- ประเทศไทยเผชิญช่องว่างทางการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน โดยต้องการเงินทุนอีกกว่า 10.3 ล้านล้านบาทเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย
- การลงทุนด้านการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนในระดับท้องถิ่นมีความเหลื่อมล้ำสูง โดย อปท. ทั่วประเทศจัดสรรงบประมาณน้อยกว่า 1% ขณะที่ กทม. ใช้งบถึง 22%
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอุปสรรคสำคัญไม่ใช่การขาดแคลนเงินทุน แต่เป็นการขาดโครงการที่น่าลงทุน (Bankable Projects) ที่จะดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนได้
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) เปิดเผยผลวิจัยสุดท้าทาย ชี้ประเทศไทยกำลังเผชิญ "ช่องว่างทางการเงินขนาดใหญ่" ในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น แม้ กทม. จะทุ่มงบ 22% แต่ อปท. ทั่วประเทศกลับลงทุนด้านการปรับตัว น้อยกว่า 1% ของงบประมาณภาครัฐ โดยไทยยังต้องการเม็ดเงินอีกกว่า 10.3 ล้านล้านบาท เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกชี้ "คอขวดสำคัญ" ไม่ใช่การขาดเงินทุน แต่คือการ ขาดแคลนโครงการที่น่าลงทุน (Bankable Projects) การประชุม IMF-World Bank Group 2026 ที่กรุงเทพฯ จึงเป็นโอกาสทองให้ไทยแสดงบทบาทนำในวิกฤตนี้
เปิดข้อมูล ไทยต้องการ 10.3 ล้านล้านบาท ลดก๊าซเรือนกระจก ภัยเศรษฐกิจจ่อคิว 1 ล้านล้าน/ปี
เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) ได้จัดงาน ‘พลังเงินทุนสีเขียว ขับเคลื่อนกรุงเทพให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัปดาห์ Bangkok Climate Action Week 2025 โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากงานวิจัย Thailand’s Climate Finance Landscape เพื่อฉายภาพความท้าทายด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวนของประเทศ
ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยของ CFNT กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2561-2568 ประเทศไทยลงทุนในการ ลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ไปแล้วประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนเพื่อ การปรับตัวต่อภาวะโลกรวน (Adaptation) ในช่วงปี 2563-2567 กลับมีมูลค่าเพียง 148,096 ล้านบาท เท่านั้น ซึ่งยังห่างไกลจากความต้องการมหาศาล
ช่องว่างการลงทุนที่น่ากังวล
- ความต้องการเงินทุน: กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมประเมินว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนอีกอย่างน้อย 10.3 ล้านล้านบาท เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามพันธสัญญา
- ภัยเศรษฐกิจ: หากไม่มีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อปรับตัวอย่างเร่งด่วน ประเทศไทยอาจเผชิญความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี
ความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรงบฯ ท้องถิ่น
งานวิจัยของ CFNT ชี้ให้เห็นว่าการจัดสรรงบประมาณระหว่างกรุงเทพฯ กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อื่น ๆ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- กรุงเทพมหานคร ปี 2568 รวมรับมือภาวะโลกรวน 20,240 ล้านบาท หรือ 22% ของงบทั้งหมด
- อปท. ทั่วประเทศ (ไม่รวม กทม.) ด้านการปรับตัว (Adaptation)1,467 ล้านบาท หรือ น้อยกว่า 1% ของงบภาครัฐทั้งหมด
- อปท. ทั่วประเทศ (ไม่รวม กทม.) ด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) 8,732 ล้านบาท หรือ 3.5% ของงบภาครัฐทั้งหมด
กทม. จัดสรรงบฯ ส่วนใหญ่เน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (13,142 ล้านบาท) ขณะที่การปรับตัวและการป้องกันผลกระทบอยู่ที่ 6,273 ล้านบาท และ 470 ล้านบาท ตามลำดับ
คอขวดสำคัญ เงินทุนมี แต่โครงการ 'Bankable' ไม่มี
ในเวทีเสวนา ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกได้ชี้ไปที่ปัญหาโครงสร้างที่สำคัญ
ดร. อรศรัณย์ มนุอมร ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสจาก ธนาคารโลก กล่าวว่า "คอขวดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนเงินทุนจากนักลงทุน แต่มันอยู่ที่การขาดแคลนโครงการที่น่าเชื่อถือและมีศักยภาพทางการเงิน (Bankable Projects)" ที่จะดึงดูดเงินทุนได้ นักลงทุนพร้อมทุ่มเงินในโครงการสีเขียวมากกว่าที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน
และยังแนะนำให้ท้องถิ่นเร่งดำเนินโครงการแก้ปัญหาที่อาศัย ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-Based Solutions)เช่น การจัดการน้ำ การรับมือคลื่นความร้อน หรือโครงการด้านสุขภาพ เพื่อดึงดูดแหล่งเงินทุน
โอกาสสำคัญที่กรุงเทพฯ การเป็นเจ้าภาพจัด IMF–World Bank Group 2026 Annual Meetings ถูกมองว่าเป็นโอกาสทองที่ประเทศไทยจะใช้เวทีระดับโลกนี้แสดงบทบาทนำและผลักดันวาระด้านการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน
การปรับตัวต้องอาศัย 'ความร่วมมือ South-South' และนวัตกรรมท้องถิ่น
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการระดมทุนเพื่อ การปรับตัว (Adaptation) มีความท้าทายสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากผลลัพธ์วัดผลยาก และมีความเสี่ยงสูง
นิกกี้ เคมป์ ผู้อำนวยการ Singapore Green Finance Centre กล่าวว่า "ความยืดหยุ่น (Resilience) เป็นเรื่องที่ฝังรากอยู่ในระดับท้องถิ่น" การแก้ไขปัญหาจึงต้องตั้งอยู่บนความต้องการและสภาพความเป็นจริงเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่การตีความจากภายนอก
กัว ฮงยู รองผู้อำนวยการ Greenovation Hub ประเทศจีน กล่าวว่าการก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ ความร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (South-South Cooperation) เพื่อสร้างอนาคตที่มีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตภูมิอากาศร่วมกัน
เวทีเสวนาทั้งหมดเห็นพ้องว่า ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำ, นวัตกรรมในการพัฒนาโครงการ, และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คือกุญแจสำคัญที่จะผลักดันการเงินในเอเชียให้ก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและเสริมสร้างความยืดหยุ่นของเมืองต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน







